"ฉันขี่ไอ้ทุยวิ่งลุยท้องนา ฮุย ฮุยๆๆ" เพลงลูกทุ่งคลาสิกในสมัยก่อน ที่เวลาร้องขึ้นมาใคร ๆ ต่างก็รู้จักมักคุ้นกันอย่างดี แต่เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับสมัยนี้ ที่บรรดาเหล่าเด็กน้อยต่างถามกันว่า "ไอ้ทุย" คืออะไร ถ้าจะเปลี่ยนให้เข้ายุคสมัยคงต้องร้องใหม่เป็น "ฉันขี่อีแต๋นวิ่งลุยท้องนา บรึ้น บรึ้นๆๆ" จึงเป็นเรื่องไม่แปลกเลยที่วันนี้ทางโรงเรียนของลูก มีใบประกาศแจ้งผู้ปกครองว่า จะพาเด็ก ๆ ไปทัศนศึกษากันที่บ้านไร่ ท้องนา เพื่อไปศึกษาวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิมของไทย ใจพาลให้นึกไปว่าในสมัยเด็ก โรงเรียนของผู้เขียนนั้นจะพาไปทัศนศึกษาดูแหล่งเทคโนโลยี วิถีชีวิตของคนในยุคมิลเลนเนียม (ใครเกิดทันยุคเดียวกันคงเข้าใจ ยุคมิลเลนเนียม ยุค คศ. 2000 ที่ผู้คนต่างคาดเดากันว่าคนในยุคนี้ มนุษย์คงต้องใส่ชุดสีเงิน รัดรูป มีเครื่องมือ ของใช้ทันสมัย มีหุ่นยนต์ทำงานให้แทบทุกบ้าน ใครที่อยากล้ำยุคหน่อยก็ต้องใช้สีเงินแวววาวนั่นแหละใช่เลย) แต่พอเรามาถึงยุคมิลเลนเนียมแล้วจริง ๆ กลับกลายว่ามนุษย์เราต้องย้อนกลับไปสู่ยุคดั้งเดิม เรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม มันช่างน่าประหลาดใจไม่น้อยควายไทย นับว่าเป็นสิ่งแรกที่เราจะคิดถึงวิถีชุมชนไทยในสมัยก่อน ด้วยเหตุที่ว่า สัตว์ชนิดนี้อยู่คู่บ้านคู่เมือง คู่บุญกับชาวเกษตรกร ชาวนามาตั้งแต่เริ่ม หากให้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาแล้วละก็ คงต้องขอบอกว่า ควายแต่ดั้งเดิมเป็นสัตว์ป่า แต่ด้วยความที่มีนิสัยไม่ดุร้ายนัก มนุษย์เราจึงนำมาฝึก มาเลี้ยงเพื่อนำมาใช้แรงงาน ก็เลยได้พึ่งพาอาศัยกัน มนุษย์เลี้ยงอาหารควาย ควายนำแรงที่มีมากเหลือมาช่วยมนุษย์ตัวจ้อย ก็ดูเป็นวิถีแห่งการเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี ดูเผิน ๆ แล้วเราอาจนึกว่าควายก็เหมือน ๆ กันไปหมด แต่เราสามารถแบ่งควายบนโลกใบนี้ได้เป็น 2 ชนิด คือ ควายป่า และควายบ้าน ในที่นี้เราจะกล่าวถึงเพียงควายบ้าน ที่แบ่งย่อยออกไปอีกเป็น ควายปลัก และควายน้ำ ในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นควายปลัก ด้วยความที่มีความแข็งแรง ทนทานกว่าควายน้ำ ควายปลัก จะมีลักษณะไม่ชอบร้อน เมื่อร้อนจะลงเล่นโคลน จึงเป็นที่มาที่เราเรียกว่า ควายปลัก ส่วนควายน้ำจะชอบสะอาดไม่ชอบลงโคลน ชาวนาจึงนิยมนำควายปลักมาช่วยในการไถนามากกว่าจึงเห็นได้ว่า ควายเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับชาวนา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของไทยเรา ดังนั้นหากจะกล่าวถึงวิถีชีวิตของชุมชนดั้งเดิมจึงขาดการพูดถึง ควาย ไม่ได้ แต่ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้า ประกอบกับประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ทำให้วิถีชีวิตเดิม ๆ นั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการ การนำเครื่องจักรเข้าใช้แทนแรงงานสัตว์จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก จึงเป็นเหตุให้ควายถูกลดบทบาทลงไปจากวิถีชีวิตของมนุษย์ไปมาก เป็นเหตุให้ไม่น่าแปลกใจที่เด็กรุ่นใหม่ จะรู้สึกตื่นเต้น และต้องกลับไปเรียนรู้วิถีชีวิตเดิม ๆ ที่สำหรับคนรุ่นอย่างเราคงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดในตอนแรกผู้เขียนก็รู้สึกฉงนใจไม่น้อยกับการที่เราต้องไปเรียนรู้ในเรื่องเก่าที่ผ่านมา ทำไมเล่าถึงไม่ไปศึกษาในสิ่งใหม่ ๆ จะวนกลับมาที่เดิมด้วยเหตุอันใด แต่เมื่อเราได้กลับไปสัมผัสและเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก จึงทำให้ได้รับรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า การที่เราศึกษาถึงวิถีดั้งเดิม ได้รู้ถึงรากเหง้า และความต้องการ ความจำเป็น อย่างถ่องแท้จริง ๆ แล้วละก็เราถึงจะสามารถต่อยอดความคิด แตกแขนงออกไปได้ดีกว่า สิ่งใหม่ ๆ มักเกิดจากการเล็งเห็นถึงปัญหา และความขาดแคลนของคนรุ่นเก่ามิใช่หรือ หากเรามองเพียงแต่ในแง่ของสิ่งใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ๆ นั่นก็เป็นเพียงไปเรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นเขาได้คิดไว้แล้ว เราเป็นเพียงผู้ใช้ มิใช่ผู้สร้าง ดังนั้น การเรียนรู้ควบคู่กันไปจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ นวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาการเข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชมดั้งเดิมในปัจจุบันก็ง่ายมาก เพราะเดี๋ยวนี้มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้อยู่มากมายหลากหลายที่ อย่างเช่นการเรียนรู้ของครอบครัวผู้เขียนในครั้งนี้ เราได้ไปสัมผัสประสบการณ์จาก หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยจังหวัดสุพรรณบุรี (หมู่บ้านควาย) และอีกแห่งคือ บ้านครูธานี จังหวัดปทุมธานี การเข้าไปเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้แบบนี้ก็เหมือนกับการที่เราไปหาข้อมูลในห้องสมุด เนื่องด้วยว่าเขาได้รวบรวมจำลองวิถีชุมชนมาให้เราได้เรียนรู้ในคราวเดียวเลย จะดีกว่าการไปค้นหาในห้องสมุดก็ตรงที่ได้เรียนรู้จากของจริง จับต้องได้ ซึ่งก็ดูน่าสนุกกว่าแค่อ่านหนังสือเป็นไหน ๆ หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่เรียกกันว่า บ้านควาย นั้น ตั้งอยู่ในอำเภอศรีประจันต์ สุพรรณบุรี นับว่าไม่ไกลจากกทม.นัก การเดินทางก็สะดวกสบาย สถานที่กว้างขวาง และที่สำคัญหาก ควาย เป็นพระเอกในใจคุณแล้วละก็ ต้องที่นี่เลยเพราะมีควายให้ชมเยอะมาก มีรอบจัดแสดงโชว์ของควาย ที่ทำให้เราทึ่งและรับรู้ได้ว่า ควายก็มีความสามารถเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน นอกจากในส่วนจัดแสดงแล้ว โดยรอบยังจัดพื้นที่เป็นลักษณะชุมชนของชาวบ้านเกษตรกรให้เราได้สัมผัส มีตลาดเช้าเล็ก ๆ ขายของพื้นเมือง อาหารบ้าน ๆ จำลองตลาดของชาวบ้านอยู่ทางหน้าทางเข้า ถัดไปก็เป็นจุดจำหน่ายของที่ระลึก ของเล่นแบบเด็กสมัยเก่าก่อนก็ยังพอมีให้เห็นตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง สถานที่ตั้งของหมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย สุพรรณบุรี 222 หมู่ 1 ถนนสุพรรณบุรี-ชัยนาท ต.วังน้ำซับ อ.ศรีประจันต์ (85.82 km)Ban Wang Nam Sap, Suphan Buri, Thailand 72140โทร. 035 525 864Facebook : @buffalovillageในส่วนของบ้านครูธานีนั้น หากใครอยากมาร่วมรับประสบการณ์แห่งวิถีชุมชนไทย คงต้องทำการนัดหมายล่วงหน้า โดยจะเปิดบ้านให้เป็นหมู่คณะเข้ามาเยี่ยมชม ไม่สามารถรองรับการมาเยือนทีละครอบครัวได้ เนื่องจากว่า ทางบ้านครูธานี เขาจะจัดกิจกรรมให้ได้เรียนรู้ตลอดทั้งวัน และเด็ก ๆ ก็จะได้ลงมือทำกันทุกคน มิใช่แค่มองดูการสาธิตเท่านั้น ตัวอย่างกิจกรรมเช่น การฟัดข้าว ดำนา ขี่ควาย ทำอาหารร่วมกัน รวมทั้งเก็บล้างจานเอง ทำขนมจากแป้งที่ได้ร่วมกันโม่และปั้นไว้ นั่งรถกระแทะ และอีกหลากหลายกิจกรรมที่อาจจะแตกต่างกันบ้างในบางส่วนแล้วแต่ทางผู้จัดจะเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละคณะ แต่ละวัน ซึ่งถึงแม้ว่าวิถีชุมชนไทยของที่บ้านครูธานี แห่งนี้จะไม่ได้เน้นย้ำไปที่ควาย แต่ก็ทำให้เราได้รับรู้ความรู้สึก วิธีการเป็นอยู่ของชาวชุมชนเกษตกรอย่างถ่องแท้ ด้วยการได้ลงมือทำ แถมสนุกสนานอีกด้วย สถานที่ตั้งของบ้านครูธานี บ้านหอมชื่นตำบล ระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี 12140โทรศัพท์: 081 308 1918ภาพประกอบบทความโดย Buakhow (ผู้เขียน)