ความเจริญของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ บรรพบุรุษของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งอาศัยอยู่ตามถ้ำและพึ่งพาพัฒนาเป็นการสร้างเพิงพักเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยตามแหล่งอาหาร ล่าสัตว์ จับปลา เก็บพืชป่านานาชนิดเป็นอาหารสืบมาหลายพันปี จนเมื่อโลกมีสภาพอากาศที่เหมาะสม ภูมิภาคเริ่มมีความชุ่มชื้นและอบอุ่นมากขึ้น มนุษย์จึงเริ่มเรียนรู้การเพาะปลูกธรรมชาติเก็บเมล็ดพืชที่หล่นลงบนพื้นดินขึ้นมาปลูกพืชชนิดแรกคือข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ป่า ในขณะเดียวกันก็จับสัตว์ป่ามาเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารใช้ขนสัตว์และหนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มและรู้จักใช้แรงงานสัตว์ในการเพาะปลูกและเป็นยานพาหนะเริ่มตั้งหลักแหล่งถาวร รูปแบบที่อยู่อาศัยเปลี่ยนจากเพลิงพักชั่วคราวเป็นบ้านที่มั่นคงแข็งแรงมีการรวมกันเป็นชุมชน สร้างขอบเขตหมู่บ้านชัดเจนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม และได้พัฒนาขึ้นเป็นสังคมเมืองมีระบบการปกครอง และสร้างสรรค์วัฒนธรรมที่พัฒนาเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา หมู่บ้านแห่งแรกๆของโลกเริ่มต้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ในตะวันออกกลางปัจจุบันคือประเทศอิรัก ตุรกี ปาเลสไตน์ สังคมแบบหมู่บ้านได้พัฒนาเป็นสังคมเมืองที่มีความซับซ้อนมากขึ้น มีแหล่งโบราณคดีสำคัญ เช่น เมืองโบราณเจริโค ใกล้กับแม่น้ำจอร์แดนประเทศอิสราเอล ชาวเมืองอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กก่อด้วยอิฐทำจากดิน มีหลังคาทรงกลม มีพิธีกรรมการฝังศพ ชาวเมืองเจริโคค้าขายกับชุมชนอื่นๆ เลิกสร้างกำแพงเมืองขนาดใหญ่ด้วยอิฐและหิน เมืองโบราณซาตาลหูยุค ในบริเวณที่ราบคอนยา ประเทศตุรกีเป็นเมืองขนาดใหญ่จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานว่ามีพลเมืองละ 6,000 อาศัยอยู่ สร้างบ้านทรงสี่เหลี่ยมด้วยอิฐดินมีบันไดบนหลังคาและในบ้านไม่มีประตูทางด้านหน้า บ้านทุกหลังเชื่อมต่อถึงกัน เมืองโบราณเมก้า ในหุบเขาริมแม่น้ำสินธุ ปัจจุบันคือประเทศปากีสถานเมื่อราว 7 000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นหมู่บ้านเกษตรกรรม ปลูกข้าวบาร์เลย์ เลี้ยงแกะ แพะ วัว มีการทำภาชนะดินเผาแบบต่างๆ และประติมากรรมดินเผาขนาดเล็กสร้างบ้านด้วยอิฐดินเผา นอกจากนี้ในบริเวณตอนเหนือของจีนพบหลักฐานหมู่บ้านเกษตรกรรมปลูกข้าวฟ่างเลี้ยงสุกรและสุนัข ทอผ้า ลักษณะบ้านมีหลังคา พนัง และเตาไฟขอบคุณภาพจาก pexels และ pixabay : ภาพปก / ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3