การที่เรารู้ตัวว่าเราชอบสิ่งใดไม่ชอบสิ่งใดถือเป็นเรื่องดีเพราะจะรู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ซึ่งการเลือกเรียนคณะที่ชอบ ทำงานที่ชอบก็เป็นส่วนสำคัญมากที่จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ช่วงผลัดเปลี่ยนระหว่างมัธยมปลายสู่มหาวิทยาลัยนั้นถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตของคนหลายๆคนเพราะฉะนั้นหากเราเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้วคณะที่เราเรียนเราไม่ได้ชอบก็อาจจะทำให้เราไม่มีความสุขและรู้สึกไม่ดีที่ต้องไปเรียน ผมจึงอยากเขียนบทความแนะนำวิธีที่จะทำให้เรารู้จักกับตัวเองรู้ว่าเราชอบอะไรมากขึ้น โดยวิธีที่ผมจะนำเสนอนั้นใช้ได้ผลกับผมและผมหวังว่าทั้ง 3 วิธีที่ผมจะนำเสนอนั้นจะได้ผลกับผู้อ่านทุกท่านนะครับ 1) ลดเวลาเล่นโซเชียลมีเดีย - ทุกวันนี้ต้องยอมรับเลยว่าเทคโนโลยีนั้นทันสมัยมากและเข้าถึงได้ง่ายเกินกว่าสมัยก่อนมาก แม้แต่นักเรียนชั้นปฐมศึกษาก็มีโทรศัพท์มือถือใช้กันแล้วถ้าเปรียบเทียบกับสมัยก่อนที่โทรศัพท์มือถือเข้าถึงยากและแทบจะมีแต่คนที่มีฐานะจริงๆเท่านั้นที่ได้ใช้ก็ถือว่าในสมัยนี้เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายจริงๆ คนในสมัยนี้พอมีเวลาว่างก็มักจะเล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม ซึ่งส่วนมากนั้นก็จะใช้ในการคุยกับผู้อื่นหรือไม่ก็ค้นหาเรื่องของคนอื่น ซึ่งทุกคนมีเวลาเท่าๆกันหมดในหนึ่งวัน (ถ้าหากคุณไม่ได้ไปในที่ๆมีสนามโน้มถ่วงเข้มมากกว่าหรือน้อยกว่าบนผิวโลกนะครับฮ่าๆ) ทําไมเราถึงได้ใช้เวลาไปกับการรู้จักคนอื่นมากกว่าการทำความรู้จักตัวเองให้มากขึ้น สละเวลาเล่นโซเชียลมีเดียสักหน่อยแล้วลองถามตัวเองดูว่า "เราเรียนวิชานี้เราชอบไหม?" หรือ "มีใครหรืออะไรทำให้เราไม่ชอบใจบ้างไหม?" ลองถามตัวเองดู มันอาจจะทำให้เราได้รู้มากขึ้นว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร ผมจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ของผมเองนะครับ ตอนนั้นผมอยู่มัธยมศึกษาชั้นที่ 6 ใกล้จะจบการศึกษาแล้วแต่ผมนั้นยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวผมอยากเป็นอะไร ในตอนนั้นผมอยากเป็นทั้งนักเขียน นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร หมอสูติ แฟชั่นดีไซน์เนอร์ แม้กระทั่งตอนสอบแอดมิชชั่นผมก็ยังไม่มั่นใจนัก ผมจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันระหว่างรอแอดมิชชั่นไปกับการอ่านหนังสือและลองนั่งคิดดูว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร ผมรู้ตัวว่าผมชอบวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์(ถึงแม้จะไม่ได้เก่งมาก)และอยากสื่อสารวิทยาศาสตร์ให้กับคนที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์เข้าใจได้ ผมจึงลองค้นหาดูว่าคณะอะไรบ้างที่เรียนวิชาสายวิทย์และลองดูหลักสูตรของคณะต่างๆตอนนั้นผมรู้ตัวว่าผมชอบและอยากเรียนคณะวิทยาศาสตร์ผมจึงเลือกที่จะเรียนคณะวิทยาศาสตร์ 2) รู้ตัวว่าเราอยากมีชีวิตแบบไหน - การรู้เป้าหมายว่าเราอยากใช้ชีวิตแบบไหน อยากทำอะไรตอนมีอายุมากขึ้น หากรู้เป้าหมายมันจะทำเรารู้ว่าเราควรจะวางแผนอย่างไรไปสู่เป้าหมาย เช่น ถ้าหากเรารู้ว่าเราอยากเป็นวิศวกรเราก็ต้องเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ เราอยากเรียนเก่งฟิสิกส์ก็ต้องเรียนฟิสิกส์ คิดจากเป้าหมายย้อนมาหาตัวเรา ถ้าหากเป้าหมายของเราก็คือการมีชีวิตที่มั่นคงสุขสบายเราก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำอย่างไรเราจะมีความสุข สมมติว่าความสุขของเราก็คือการสะสมตุ๊กตาเราก็ต้องหาว่าเราจะสามารถหาตุ๊กตาจากไหนได้บ้าง เช่น ทำงานเก็บเงินซื้อตุ๊กตา ทำอาชีพทำตุ๊กตา แล้วทีนี้เราก็ต้องลองมาชั่งดูว่าแบบไหนที่จะทำให้เรามีความสุขมากกว่าหรือมั่นคงมากกว่า บางทีเราอาจไม่ต้องหางานที่เราไม่ชอบเพียงเพราะหาเงินได้เยอะแต่เราอาจจะหางานที่อาจจะได้เงินไม่เยอะเท่าแต่ทำแล้วมีความสุขมาทำมากกว่า3) อย่าปิดกั้นตัวเอง - เราไม่ควรปิดกั้นความคิดตัวเอง ไม่ใช่ว่าเราเคยเชื่อเรื่องนี้แล้วเรื่องนี้ต้องถูกตลอดไป ความชอบของเราอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพอใจของคนอื่น เคยไหมครับเวลาตอนแรกเราไม่ชอบอะไรแต่พอเวลาผ่านไปเรากลับชอบมัน อย่างเช่นตอนแรกเราอาจจะไม่ได้ชอบฟังเพลงๆ นึงมากนักแต่พอฟังไปสักพักเราก็รู้สึกชอบเพลงนี้ขึ้นมา ยกตัวอย่างประสบการณ์ของผมเอง เมื่อก่อนสมัยผมขึ้นมัธยมศึกษาตอนต้นมาใหม่ๆผลการเรียนของผมนั้นย่ำแย่มากๆและคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ของผมนั้นถือได้ว่าห่วย ผมเคยคิดว่าไม่อยากเรียนวิทยาศาสตร์แล้วไปทำงานอะไรที่ไม่ต้องคิดเลขดีกว่า แต่พอขึ้นช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายผมลองเปิดใจให้กับวิทยาศาสตร์แล้วผมก็ได้รู้ว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้ชอบบางอย่างตั้งแต่ที่เราเริ่มรู้จัก หรือว่าเราอาจจะไม่ได้ชอบในสิ่งที่เรากำลังชอบอยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้นเราไม่ควรที่จะปิดกั้นตัวเราเองสำหรับวิธีสามวิธีนี้ก็ขอให้ใช้ได้ผลกับทุกคนนะครับ ถ้าหากเราเลือกเรียนแล้วเราไม่ชอบเราไม่ไหวเราก็ไม่ควรต้องทนเรียนกับมันก็ได้ เพราะเราต้องเลือกเอาว่าเราจะยอมเสียดายเวลาไป 4 ปี หรือบางคณะ 6 ปี หรือเราจะยอมเสียเวลาแค่ปีเดียวแล้วไปหาสิ่งที่เราชอบ ขอให้ทุกคนค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบและไม่ต้องเสียเวลาค้นหานานนะครับภาพโดยนักเขียน