อื่นๆ

เมื่อเหล่าม่า มาเยี่ยมเหลน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เมื่อเหล่าม่า มาเยี่ยมเหลน

‘อาม่า’ ปูชนียบุคคลประจำตระกูลเรา แม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม ความน่าเกรงขาม ความปราดเปรื่อง ความรอบรู้ และความดุดันของนางก็ยังเป็นที่จดจำของลูกหลานเสมอมา

’อาม่า’ หรือ ‘เหล่าม่า’ ของเหลนๆ เป็นหญิงจีนซึ่งอพยพถิ่นฐานมาจากเมืองไหลอกฮองของจีนราวร้อยกว่าปีล่วงมาแล้ว ก่อนจะมาถึงเมืองไทย ‘อาม่า’เคยแวะพักที่อินโดนีเซียระยะหนึ่ง เพื่อหาช่องทางปักหลักทำมาหากิน แต่เมื่อเห็นว่าหนทางนั้นชักจะมืดมน ด้วยความเฉียบขาด นางจึงตัดสินใจชวนสามีหรืออากงของเรานั่งเรือบ่ายหน้ามายัง’เสี่ยมล้อ’ หรือสยามเมืองยิ้มแทนในทันที

ครอบครัวของเราแตกต่างจากครอบครัวจีนทั่วๆไปในสมัยนั้น เพราะเราอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยวแบบที่คนสมัยนี้อยู่กัน เพราะภายในบ้าน มีเพียงพ่อแม่และลูกๆเท่านั้น สมาชิกคนอื่นก็มีเพียงอาม่าคนเดียว เพราะอากงก็ตายจากไปนานมากตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่เกิด  พี่สาวของพ่อหรือป้าของเราก็หายสาบสูญไปพร้อมกับย่าตั้งแต่พ่อยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ต่อมาอากงหรือพ่อของพ่อก็ตายจากไปอีกคน ตั้งแต่พ่อยังไม่แต่งงานกับแม่เสียด้วยซ้ำ เราจึงมีเพียง’อาม่า’ที่อยู่บ้านเดียวกัน อาม่า’นั้นมีลูกเพียงสองคนคืออากู๋หรือลุงและแม่ แต่อากู๋ก็ถูกโจรจีนใต้ฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมทารุณตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ทำให้อาม่าเสียใจมาก เพราะมีลูกชายเพียงคนเดียว เรื่องนีทำให้จิตใจของนางบอบช้ำมาก จนจิตใจวิปลาศเป็นครั้งครา และมักจะแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดฉุนเฉันวต่อคนใกล้ตัว โดยเฉพาะแม่ของเรา ซึ่งต้องเป็นคนที่รองรับโทสะของ’อาม่า’บ่อยที่สุด  ฉันยังจำได้ดีว่า สมัยที่แม่มีพวกเราแล้ว ‘อาม่า’ก็ยังทุบตีหรือด่าทอแม่ด้วยคำพูดที่รุนแรงเสมอ แต่แม่ก็เป็นลูกสาวที่ประเสริฐ ไม่เคยตอบโต้หรือเถียงอาม่าเลยแม้แต่ครั้งเดียว

Advertisement

Advertisement

แม้จะร้ายกาจกับลูกสาว แต่’อาม่า’กลับทุ่มเทความรักให้กับหลานๆอย่างมากมาย โดยเฉพาะบรรดาหลานชาย และคนที่’อาม่า’โปรดปรานที่สุดคือหยี่เฮีย หรือพี่ชายคนที่สอง เพราะเรียนหนังสือเก่ง ปราดเปรียว ว่องไว รูปหล่อ และหน้าตาละม้ายลูกชายของนางเป็นที่สุด ทุกๆวัน ‘อาม่า’จะซื้อหาของกินอร่อยๆมาปรนเปรอหลานๆทุกคน ด้วยเงินทองที่พ่อของเราจัดหาให้ เพราะ’อาม่า’ไม่ได้ประกอบอาชีพอันใด ยกเว้นดูแลความเป็นอยู่และกวดขันเรื่องการเรียนของหลานๆ และหยี่เฮียมักจะได้ขนมและของเล่นมากกว่าหลานคนอื่นๆเสมอ เนื่องจากเป็นหลานคนโปรด แต่ในเรื่องการเรียน ‘อาม่า’จะไม่ผ่อนปรนหลานๆเลย ไม่ว่าหญิงหรือชาย ถ้าใครสอบได้คะแนนไม่ดี ก็จะถูกอาม่าลงไม้เรียวทุกครั้งไป แต่ถ้าสอบได้ที่หนึ่งหรือสอง คนนั้นก็จะได้รางวับพิเศษเสมอ ตัวหยี่เฮียเองก็เรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งบ่อยๆ และรัก’อาม่า’เป็นที่สุด คอยปรนนิบัติดูแลทั้งเรื่องข้าวของเครื่องใช้ หยูกยา และพาอาม่าไปไหนๆตามที่’อาม่า’ต้องการ และแล้ว วันที่’อาม่า’ต้องเสียใจอีกครั้งก็มาถึง เมื่อหยี่เฮียต้องจากนาง เพื่อไปเรียนหนังสือระดับวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทำให้’อาม่า’หงอยลงทุกวันๆ วันแล้ววันเล่า นางจะนั่งจับเจ่าบนเปลไม้ตัวโปรด คอยเวลาปิดเทอมที่หลานชายคนโปรดจะได้กลับมาหา

Advertisement

Advertisement

ปีที่สองที่หยี่เฮียจากไปกรุงเทพฯ อาม่าเกิดลื่นล้มในห้องน้ำ และต้องนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ‘อาม่า’ นอนป่วยอยู่นานนับปีอย่างเซื่องซึม เพราะขาดการเอาอกเอาใจจากหลานรัก  วันสุดท้ายก่อนที่จะจากไป นางยังคงรอหลานรักกลับมาหาเป็นครั้งสุดท้าย และหยี่เฮียที่รีบโดยสารรถไฟกลับมาหา’อาม่า’ ก็มาทันดูใจนางจนได้ เขาเข้าได้สวมกอดนางด้วยความอาลัยรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่’อาม่า’จะหมดลมหายใจ

หลายปีต่อมา หยี่เฮียมีครอบครัว และเพิ่งจะได้ลูกสาวคนแรก โดยที่ภรรยาได้มาพักฟื้นหลังคลอดในบ้านหลังเดียวกับที่’อาม่า’ได้จากไป จำได้ว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านไม้เก่าๆสองชั้นที่พวกเราเติบโตด้วยกันมาอย่างอบอุ่น แต่ก็มีบรรยากาศบางอย่างที่น่ากลัวแฝงอยู่เหมือนกัน เช่นเสียงไม้เสียดสีกันเป็นบางครั้ง เสียงฝนกระทบหลังคา หรือเสียงประหลาดๆต่างๆที่อธิบายไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีเสียงล่ำลือว่ามีคนตกลงไปตายในบ่อน้ำกลางบ้านที่ถูกฝังกลบไปแล้ว ก่อนที่ครอบครัวเราจะย้ายเข้ามาอยู่ไม่นาน

Advertisement

Advertisement

คืนหนึ่ง หลังจากที่นอนเคลิ้มไปด้วยความอ่อนเพลียหลังการคลอด หยี่ซ้อก็ต้องลืมตาโพลงขึ้นมา เมื่อเห็นหญิงจีนแก่ๆคนหนึ่ง รูปร่างสันทัด ใส่เสื้อจีนสีฟ้าๆ กางเกงแพรสีดำ เกล้ามวยต่ำ เดินเข้ามาในห้อง โดยมีผู้ชายตัวสูงใหญ่ยืนคุมประตูอยู่อีกคน นางเดินเอามือไพล่หลัง ขาเขยกเล็กน้อย ตรงมาที่เปลเด็กอันแรกที่มีทารกชายนอนอยู่  (พี่สะใภ้อีกคนคลอดลูกไล่เลี่ยกัน และพักฟื้นในห้องเดียวกัน) นางพิจารณาอยู่สักครู่ใหญ่ ก็เดินตรงมาที่เปลของทารกหญิง มองอยู่สักครู่ เมื่อชายคนที่มาด้วยให้สัญญาน นางก็เดินกลับออกไปอย่างเงียบๆเหมือนตอนเข้ามา หยี่ซ้อนอนลืมตาโพลงด้วยความกลัว จนไม่สามารถเปล่งเสียงร้องออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว

วันรุ่งขึ้น เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเราก็หยิบภาพ’อาม่า’ให้อาซ้อดูว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า หวี่ซ้อมซึ่งไม่เคยเห็นภาพหรือรู้จัก’อาม่า’มาก่อนเลย ก็ยืนยันว่า เป็นคนคนเดียวกัน แต่หลังจากนั้น อาซ้อก็ไม่เคยเห็น’อาม่า’อีกเลย ‘อาม่า’ คงมาให้เห็นไม่ได้อีกแล้ว แต่น่าแปลกที่วันที่มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษในบ้าน เราก็มักจะเห็นว่า มีผีเสื้อตัวใหญ่บินเข้ามาในบ้านเสมอ ทั้งๆที่วันปรกติธรรมดาจะไม่มีผีเสื้อเข้ามาในบ้านเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเรื่องที่น่าพิศวงยิ่งนัก และเมื่อใครสักคนจับผีเสื้อขึ้นมาพิจารณาดูด้วยความสงสัย ก็จะเห็นว่า ขาผีเสื้อตัวนั้นหักงออยู่ข้างหนึ่งด้วย ช่างเหลือเชื่อจริงจริง

ถ้าจะให้ข้าพเจ้าวิเคราะห์ ก็คงจะเป็นความคิดถึงของวิญญานของ’อาม่า’ที่มีต่อลูกหลาน จึงขออนุญาตให้ได้มีโอกาสมาหาเหลนที่เพิ่งเกิดสักครั้ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ทำให้ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า ผีหรือวิญญานไม่มีจริง เพียงแต่ว่า ผู้ใดจะเป็นคนที่เจอะเจอเข้าเท่านั้น ข้าพเจ้าเองไม่เคยเจอะเจอหรือฝันถึง’อาม่า’เลยสักครั้ง เพราะไม่ใช่หลานคนโปรดของ’อาม่า’ ‘อาม่า’จะโปรดเฉพาะหลานชายเท่านั้น บัดนี้หยี่เฮียคนโปรดของ’อาม่า’ได้จากโลกนี้ไปแล้วเช่นกัน เส้นทางชีวิตหลังความตายระหว่างบุคคลทั้งสอง จะได้มีโอกาสมาเจอะเจอกันบ้างไหม ข้าพเจ้าก็ได้แต่สงสัย

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ก้อนดิน
ก้อนดิน
อ่านบทความอื่นจาก ก้อนดิน

หลงรักตัวหนังสือ ชื่นชอบนักเขียนทั้งไทยและเทศ ใฝ่ฝันว่าจะมีโอกาสเขียนอะไรสักครั้งอีกในชีวิต หลังจากท

ดูโปรไฟล์

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์