เมื่อปลูกข้าวมันไม่เวิร์ค…ปลูกมะม่วงสิ (มัน) กว่า บทความคราวนี้ ค่อนข้างจะดูเป็นการเป็นงานซักหน่อย เพราะเขียนจากประสบการณ์ทำงานล้วน ๆ เนื่องด้วยผู้เขียนได้ทำงานให้กับแหล่งทุนต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินงานในประเทศไทยผ่านองค์กร หน่วยงานของภาครัฐในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในประเทศไทย เมื่อครั้งที่ผู้เขียนได้ร่วมทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่อง การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของระบบเกษตรที่ปลูกข้าวเป็นหลักในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา การทำงานนอกจากจะเป็นการทำงานวิจัยบนโต๊ะ (Desk Study) แล้ว การเข้าพื้นที่ สำรวจพื้นที่จริงก็เป็นส่วนสำคัญในการทำงานอย่างยิ่ง การได้พูดคุยกับคนในพื้นที่จะทำให้ภาพที่เรามีในหัวนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ผู้เขียนได้เข้าไปทำงานนั้นครอบคลุมจังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี และในบทความคราวนี้ ผู้เขียนจะขอเล่าถึงจังหวัดอ่างทองก่อน เพื่อนำเข้าไปสู่หัวเรื่องที่ผู้เขียนโปรยไว้ตั้งแต่ต้น “เมื่อปลูกข้าวมันไม่เวิร์ค…ปลูกมะม่วงสิ (มัน) กว่า” จาก “นาข้าว” จะเปลี่ยนไปเป็น สวนมะม่วง” ได้อย่างไรนั้น ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังสืบเนื่องจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา แหล่งเพาะปลูกข้าวสำคัญของประเทศไทย เฉพาะพื้นที่ตัวอย่าง 6 จังหวัดที่ผู้เขียนยกมานั้น มีพื้นที่ปลูกข้าวราว 6 ล้านไร่ (จากข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินของกรมพัฒนาที่ดินปี 2553-2555) จำนวนพื้นที่ดังกล่าวรวมทั้งพื้นที่นาปี (นาน้ำฝน) และนาปรัง (นาชลประทาน) ให้ผลผลิตข้าวรวม ประมาณ 6.6 ล้านตัน มูลค่าถึง 60,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) พันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกกันในพื้นที่ ได้แก่ พันธุ์ กข ต่าง ๆ พันธุ์ชัยนาท ปทุมธานี สุพรรณบุรี90 และหอมมะลิ เป็นต้น สำหรับพื้นที่จังหวัดอ่างทอง ที่ผู้เขียนได้ยกขึ้นมาเล่าสู่กันฟังนั้น เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีเกษตรกรปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก มีพื้นที่ปลูกข้าวราว ๆ 3.9 แสนไร่ อยู่ในเขตชลประทานทั้งหมด สำหรับพื้นที่ที่ผู้เขียนได้ไปสำรวจสภาพแวดล้อมและได้ไปนั่งจับเข่าคุยกับเกษตรกรอยู่ในอำเภอสามโก้ โดยเกษตรกรผู้ให้ความรู้กับผู้เขียนในครั้งนี้ คือ คุณลุงสุนทร สมาธิมงคล เกษตรกรผู้มากไปด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญในการปลูกมะม่วง และเป็นประธาน “ศูนย์เครือข่ายการปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออก”คุณลุงสุนทร อายุ 60 ปี (ณ ปี พ.ศ.2563 ที่ผู้เขียนได้คุยกับคุณลุง) อาศัยอยู่ที่ หมู่ 1 ต.มงคลธรรมนิมิต อ.สามโก้ จ.อ่างทอง ตัวอย่างเกษตรกรที่ไม่มีใครไม่รู้จักในสามโก้ เพราะคุณลุงเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนจากปลูกข้าว พลิกผืนนามาทำสวนมะม่วง มะม่วงที่ลุงสุนทรปลูกนั้น เป็นมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง มะม่วงเขียวเสวย และมะม่วงพันธุ์อื่น ๆ แต่ที่ปลูกมากและเป็นสินค้าเด่น ส่งออกไปขายตลาดต่างประเทศมากที่สุด และขึ้นชื่อว่าเป็นสินค้า OTOP ของอ่างทอง ก็คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ซึ่งก็สีทองสมชื่อ ผู้เขียนได้ลองชิมมาแล้ว พูดได้คำเดียว หวาน….อร่อยมากสำหรับพื้นที่ ต.มงคลธรรมนิมิตนั้น สภาพดินมีความเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวมาก พื้นที่กว่าร้อยละ 80 มีความเหมาะสมสำหรับการปลูกข้าว ปลูกข้าวได้ผลดี แรกเริ่มเดิมทีคุณลุงสุนทร ก็ทำนาเป็นปกติในพื้นที่ 30 ไร่ ทำนาปีละ 2 ครั้ง ต่อมาเริ่มรู้สึกว่า การทำนาไม่ค่อยมั่นคง ราคาไม่ดี ทำแล้วก็ไม่ได้อะไร โรคและแมลงก็เยอะ น้ำบางปีก็มี บางปีก็ไม่มี เมื่อคิดได้เช่นนั้น ลุงจึงเริ่มค้นคว้าหาข้อมูล เดินเข้าไปหาเกษตรตำบล/ เกษตรอำเภอเพื่อขอข้อมูลว่า จะปลูกอะไรดีที่ขายได้ ทางสำนักงานเกษตรจึงแนะนำให้ลุงไปดูงาน ไปเข้าร่วมฝึกอบรมในหลาย ๆ ที่ ลุงเล่าว่าเป็นความโชคดีที่ลุงเป็นคนที่มีความกระตือรืนร้น ใฝ่คว้าหาความรู้ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่ง ลุงและเพื่อน ๆ ได้ไปดูงานที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และพบว่า สินค้าเด่นของทางนั้น คือ มะม่วง ณ ที่แห่งนั้น เป็นการจุดประกายให้ลุงหันมาสนใจปลูกมะม่วง และเมื่อกลับมายังสามโก้ ลุงก็เริ่มลงมือทำทันที หาข้อมูล ทั้งวิธีปลูก วิธีการดูแล หาซื้อกิ่งพันธุ์ และเข้าไปขอความช่วยเหลือทั้งในด้านองค์ความรู้และแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนเพื่อพลิกผืนนาให้กลายเป็นสวนมะม่วง ซึ่งในขณะนั้นภาครัฐมีโครงการ คปร. (โครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร) ที่ให้การสนับสนุนเกษตรกรที่จะริเริ่มทำการปลูกพืช โดยให้ทุนกู้ยืมสำหรับการปรับพื้นที่นา ยกร่องทำคันดินล้อมรอบแปลงนา เพื่อให้มีร่องน้ำไว้สำหรับเก็บน้ำให้สามารถปลูกมะม่วงได้ ซึ่งเงินกู้ยืมดังกล่าวได้รับการพักหนี้ 5 ปีโดยไม่มีดอกเบี้ยระหว่างทางที่ลุงปลุกปั้นสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ของลุงก็ต้องพบเจออุปสรรคมากมายไม่แตกต่างกับเกษตรกรรายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้ง อากาศร้อนเกินไป ต้นมะม่วงยืนต้นตายก็มี หรือแม้แต่ ทำอย่างไรที่จะทำให้ผิวมะม่วงสวยไม่มีรอยดำ ต้องใช้วิธีการและวัสดุการห่ออย่างไรเพื่อให้ผิวมะม่วงสวย ซึ่งลุงก็พบว่า การห่อด้วยถุงกระดาษคาร์บอนได้ผลดี เพิ่มมาตรฐาน GAP ส่งออกประเทศญี่ปุ่น และประเทศจีน สร้างรายได้นับล้านบาทต่อปี ปัจจุบันนี้ สวนมะม่วงของลุงสามารถทำรายได้ที่มั่นคงให้กับลุงเพื่อเลี้ยงครอบครัว ลุงบอกว่าลุงมีสโลแกนที่ลุงภูมิใจมาก คือ มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้สีทองนั้น “รสหวานผัวรับประทานหวานถึงเมียเลยทีเดียว” (ผู้เขียนได้ยินเช่นนั้น ถึงกับขำในใจ อะไรจะขนาดนั้น…ลุง) แต่เมื่อผู้เขียนได้ชิมมะม่วงของลุงก็ต้องบอกว่า ที่ลุงพูดไม่เกินจริงเลย !!! มะม่วงสีเหลืองนวล ผลใหญ่ รูปทรงสวยงาม เมื่อรับประทานเวลาสุกจะมีความหวานชื่นใจ หอม อร่อย เนื้อแน่น นอกจากนี้ ยังมีมะม่วงพันธุ์เขียวเสวยที่มีรสชาติหวาน กรอบ มันสมชื่อจริง ๆเมื่อตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมีให้เห็น เพื่อนบ้านที่เป็นชาวนาโดยรอบต่างก็ยอมรับ ลุงเล่าว่าสมัยเมื่อลุงเริ่มทำสวนมะม่วงใหม่ ๆ ก็มีแต่คนว่าไม่มีทางหรอกที่นาจะเปลี่ยนเป็นสวนมะม่วง แต่เวลาและความเพียรของลุงส่งผลให้เห็นเป็นรูปธรรม ทุกคนต่างยอมรับในวิถีดังกล่าว และเริ่มทำตาม ซึ่งต่อมาก็เกิดการรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ เป็นกลุ่มมะม่วงส่งออก เพื่อให้มีผลผลิตที่จะส่งออกขายเพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น และจีน นอกจากลุงสุนทรจะเก่งในเรื่องมะม่วงแล้ว องค์ความรู้อื่น ๆ เช่นการผสมปุ๋ย สารชีวภาพ ทำให้ผลผลิตมะม่วงมีคุณภาพ อ้อ ผู้เขียนลืมไปบอกไป การปลูกของลุงจะมีการใส่ปุ๋ยเคมีบ้างเพื่อเติมธาตุอาหารในดิน ร่วมกับการใช้สารชีวิตภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำจัดศัตรูพืช ลุงจะไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการกำจัดศัตรูพืช เพราะจะทำให้เกิดการตกค้างเป็นอันตรายทั้งกับตัวเราเองและสัตว์อื่น ๆ ในพื้นที่ จากประสบการณ์ปลูกมะม่วงกว่า 30 ปี ปัจจุบันบ้านของลุงสุนทร หรือที่ทำการกลุ่มได้กลายเป็น โรงเรียนมะม่วงแห่งแรก ของจังหวัดอ่างทอง เปิดสอนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการปลูกและดูแลมะม่วงโดยใช้ระยะ 8 เดือน เรียนอาทิตย์ละ 1 วัน ซึ่งลุงจะสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็นั่งฟังเพลิน พร้อม ๆ ไปกับมือที่หยิบมะม่วงเขียวเสวยกินอยู่ตลอดเวลาที่ฟังเรื่องราวของลุงไป ขอบอกว่า มะม่วงทั้งหวาน กรอบ และมันสมชื่อ ถ้าไม่นับว่า อีกไม่ถึงครึ่ง ชม. ต่อไปจะถึงเวลาอาหารกลางวัน มะม่วงตรงหน้า คงหมดจานเป็นแน่แท้ !!!เล่ามายืดยาว ทั้งหมดนี้ก็แค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวของลุงเท่านั้น จริง ๆ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ทั้งการลองผิดลองถูกผสมปุ๋ย สารชีวภาพเอย การทดลองใช้ถุงประเภทต่าง ๆ ห่อผลมะม่วงเอง หรือแม้กระทั่ง มีมหาวิทยาลัยที่สอนด้านเกษตรมาขอดูงานและส่งนักศึกษามาฝึกงานให้คุณลุงสอนกันอยู่บ่อย ๆ แต่สิ่งหนึ่งระหว่างที่พูดคุยกับคุณลุงนั้น คุณลุงย้ำอยู่เสมอว่า ความขยันหมั่นเพียร ใฝ่หาความรู้ มีความซื่อสัตย์ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ให้กับคนอื่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเราประสบความสำเร็จ เราก็ควรแบ่งปันความสำเร็จเหล่านั้นให้กับผู้อื่น ๆ ด้วย ระยะเวลาที่นั่งคุยกับลุงก็ใช้เวลาอยู่ประมาณ ครึ่งวัน ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนเกือบถึงเที่ยง (พี่คนขับรถที่พามาก็หลับแล้วหลับอีก จนตื่นมาและทำหน้าบอกกับผู้เขียนว่า หิวแล้ว!!! ฮ่า ๆ ผู้เขียนจึงต้องรีบเก็บประเด็นที่เหลือให้เสร็จโดยไว ไม่งั้นคนโดนพี่คนขับรถขบหัวแทนอาหารกลางวันก่อนเป็นแน่แท้) และไม่ลืมที่ผู้เขียนจะได้ชวนคุณลุงไปทานอาหารกลางวันกันต่อ แต่ก็ด้วยที่ผู้เขียนใช้เวลาทำงานของลุงไปเกือบครึ่งวัน ลุงจึงต้องรีบขอตัวไปจัดการดูแลสวนมะม่วงก่อน และอีกอย่างหนึ่ง แม่บ้านทำกับข้าวไว้แล้ว ถ้าไม่กินเดี๋ยวคืนนี้ คงได้นอนนอกบ้านแน่ ๆ ลุงกล่าวไว้…สุดท้ายนี้ ถ้าหน่วยงานใดอยากเข้าไปดูงาน หรือขอความรู้กับคุณลุงสุนทร ลุงยินดีที่จะสอนให้เป็นอย่างยิ่ง สามารถติดต่อผ่านไปยังเกษตรอำเภอสามโก้ ได้เลยค่ะภาพประกอบ : โดยผู้เขียนที่มาของประสบการณ์และข้อมูล : โครงการสนับสนุนการจัดทำแผนการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบนมิติการจัดการความเสี่ยง โดยการสนับสนุนจาก GIZ (องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน)