ย้อนกลับไปในปี 2557 ที่เราทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ ในหน่วยงานวิจัยแห่งหนึ่ง ได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในคณะทำงานในโครงการวิจัยหลายๆ โครงการ ซึ่งโครงการนั้นก็ทำให้เราได้มีโอกาสไปเก็บตัวอย่างที่ต่างประเทศ (ซึ่งจะเล่าให้ฟังในครั้งถัดๆไป) โปรเจคนี้เกี่ยวข้องกับการเก็บตัวอย่างคนไข้โรคโรคหนึ่งเพื่อทำการทดลองเรื่องความเข้มข้นของยาที่เหมาะสมในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ (ต้องขออนุญาตไม่เล่าเรื่องการทดลองว่าเป็นเรื่องอะไรนะคะ เพราะเป็นความลับของหน่วยงานฯ) study site มีอยู่ประมาณ 3-4 แห่งนอกประเทศ การทดลองส่วนหนึ่งจะทำกันที่ site แต่อีกส่วนหนึ่งจะขนกลับมาทำต่อที่หน่วยวิจัยฯ ที่ไทย และเมือง RAMU ประเทศบังคลาเทศก็เป็นหนึ่งในนั้น RAMU เป็นเหมือนอำเภอที่อยู่ในเมือง Cox’s Bazar เขต Chittagong เป็นเมืองที่อยู่ติดชายแดนประเทศพม่า ซึ่งทำให้เราไม่แปลกใจเลยที่เห็นหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งนุ่งผ้าถุงทาแป้งทานาคาเดินอยู่ในเมือง ทีมงานเรามีกัน 4 คน ได้แก่ คุณหมอชาวแคนาดา 1 คน นักวิทย์คนไทย 2 คน นักวิทย์ชาวบังคลาเทศอีก 1 คน รับตำแหน่งล่ามด้วย ให้นามสมมุติว่า Mr Suเราทั้งสามสาวพักกันที่โรงแรมในเมือง Cox’s Bazar ซื่งเป็นเมืองติดทะเล อยู่ห่างจาก RAMU ประมาณ 20 กิโลเมตร ที่เลือกพักในเมืองก็เพราะทีมก่อนหน้าได้พิสูจน์แล้วว่าการพักที่บ้านพักของโรงพยาบาลนั้นไม่ได้เอื้อต่อการพักผ่อนของเราแม้แต่น้อย (ทั้งน้ำสีสนิทและไฟจากเทียนไข) เราจะใช้เวลานั่งรถประมาณ 30 นาที เพื่อไปโรงพยาบาล RAMU Upazilla hospital ทุกวัน ระหว่างทางของเราจะผ่านตึกรามบ้านช่องของเขา ผ่านตลาด ผ่านร้านคา ท่ารถ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลไม่มีคนต่างชาติเลย นานๆ ทีจะผ่านมาให้สักคน สองคน เวลาพวกเราไปซื้อของที่ supermarket หรือ ตลาด ก็จะมีผู้ให้ความสนใจเดินมาดูหน้า เดินมาคุยและคิดว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนอยู่บ่อยๆ โรงพยาบาล RAMU จะอยู่บนเนินเขา ถ้าจะเดินจากหน้ารพ.เข้าไปก็ต้องใช้พลังงานจากกล้ามแข้งของเรานิดนึง แต่เราไม่กลัวเพราะมีราชรถมาเกยถึงประตูตึก โรงพยาบาลนี้น่าจะมีหมอไม่เกิน 3 คน รวมผอ. แล้ว คิดถึงรพ.ในต่างจังหวัดบ้านเราเมื่อ 20 ปีก่อนมากเลย คนไข้มีไม่มาก แต่สุขลักษณะก็ตามสภาพ วอร์ดจะมี 2 วอร์ด ได้แก่ วอร์ดชายและหญิง เครื่องมือก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าเป็นอะไรหนักๆ มาก็เข้าเมืองใหญ่โลดจร้าห้องทำงานของทีมวิจัยจะอยู่อาคารด้านหลังตึกอำนวยการ เราก็ต้องเดินผ่าน ห้องตรวจต่างๆ วอร์ดคนไข้ เพื่อไปที่ห้องทำงานห้องเรา กิจวัตรของเราก็คือก็จะทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการทำแลบ รวมไปถึงติดตามผลการทดลองจากตัวอย่างที่เราทำไว้เมื่อวาน และ 48 ชั่วโมงที่แล้ว ส่วนหน้าที่ของหมอก็คือดูอาการคนไข้ที่เข้าโครงการวิจัยตามเตียงต่างๆ หรือเป็นผู้ช่วยหมอประจำรพ.ราวน์วอร์ดแทนตามประสาคนทำงานมันก็ต้องเจออุปสรรคกันบ้าง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ และด้วยว่าห้องแลปของเรา มันก็ต้องมีกล้องจุลทรรศน์ อุปกรณ์ และเครื่องมือใหญ่ๆ ใช้ทำแลปเยอะแยะ ซึ่งเครื่องมือพวกนี้ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงาน และมันก็กลายเป็นปัญหาใหญ่มากๆ ของที่นี่ เพราะไฟฟ้าที่นี่มักจะมาไม่ค่อยสม่ำเสมอนัก แถมการไฟฟ้าของเมืองนี้ก็หมั่นตัดไฟเพื่อซ่อมอะไรสักอย่าง ณ ที่ไหนสักแห่งบ้อย บ่อย วันไหนที่โชคดี ก็ต้องให้ Mr. Su สุดหล่อ ขี่มอเตอร์ไซต์ไปซื้อน้ำมันมาใส่เครื่องปั่นไฟ (เครื่องปั่นไฟที่ใช้ได้สองวัน เสียสามวัน) จำไม่ได้ว่ากี่บาท แต่รู้แค่ว่าหมอแคนาดาชอบบ่นว่าแพงอยู่เรื่อย เพราะเวลาไฟดับ ก็ไม่ต่ำกว่ากว่า 3-4 ชั่วโมงที่ทำอะไรไม่ได้ ไฟจากเครื่องปั่นไฟไม่อาจจะทำให้บางเครื่องมือใหญ่ๆ ของเราทำงานได้ถ้าโชคดีว่าช่วงที่ทำงานตอนนั้นเป็นช่วงหน้าร้อนหรือหน้าฝน ก็จะหรรษาสุดๆ พอร้อนเราก็ต้องเปิดหน้าต่าง พอเราเปิดหน้าต่างเราจะได้พบเจอกับฝูงแมลงวันฝูงใหญ่ ที่มองไกลๆ เหมือนก้อนดำๆ อะไรสักอย่างบินเข้ามาทายทัก ทักทายกับพวกเรา และจะโชคดีสุดๆไปอีก ถ้าเกิดว่ามันดับตอนใกล้ค่ำ ประจวบเหมาะกับตอนที่เรายังไม่เสร็จงานดี และก็ต้องอยู่จนไฟมาเพื่อทำแลบต่อ และที่สำคัญเครื่องปั่นไฟเสียอีก...บันเทิงถึงขีดสุด ดึกสุดที่เรากลับออกมาจากโรงพยาบาล ก็คือตอนตีสอง แต่ แต่ แต่ ท้องฟ้ายามตีสองของเมือง RAMU มันสวยมากจริงๆ เคยคิดว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้กลับเวลานั้นเราจะได้เห็นทางช้างเผือกชัดขนาดนั้นไหม (แต่บ่อยเข้าก็เล่นเอาโทรมได้เหมือนกันนะ) แต่ทั้งหมดทั้งมวนที่เล่ามาก็เพื่องานวิจัยทั้งนั้น ซึ่งงานวิจัยที่เราทำก็เพื่อการรักษาคนไข้อีกที ประโยชน์มันอาจจะไม่ได้ออกมาโดยทันที แต่เชื่อเถอะว่า การวิจัยของเราเป็นประโยชน์ได้ในอนาคตแน่นอนที่เรามาที่นี่ก็ถือว่าได้รับประสบการณ์อันสูงค่ามากๆ อย่างแรกก็คือเรื่องความอดทนในการทำงาน การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของการนำประสบการณ์ที่เราได้สะสมมาจากที่อื่นๆ นำมาใช้ในการแก้ปัญหา อันนี้ต้องใช้ประสบการณ์ล้วนๆ ค่ะ แล้วแต่บุคคลจริงๆ อย่างที่สองก็คือเรื่องของภาษา ยังไงๆ ภาษาก็เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสาร ถ้าเราได้มีพื้นฐานด้านภาษาอังกฤษบ้างก็จะดี ใช่ว่าคนที่นั่นพูดได้ซะทีไหน เค้าก็ไม่รู้ เราเองก็ไม่ได้เก่ง แต่เมื่อเราใช้ร่วมกับภาษากาย เรากับเขาก็คุยกันรู้เรื่องอยู่ดี อย่างท่ี่สามคือเรื่องมนุษยสัมพันธ์ เพราะว่าเราอยู่ต่างบ้านต่างเมือง รอยย้ิมและเสียงหัวเราะมันช่วยได้นะ รู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็ยิ้ม ก็หัวเราะไปก่อนค่ะ เวลาเราเกิดปัญหา คุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอากระโดดเข้ามาช่วย โดยที่เราไม่ต้องร้องขอเลย มัันช่วยได้จริงๆแต่สุดท้ายที่สำคัญที่สุด (อันนี้ส่วนตัว) ก่อนที่เราจะเดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะประเทศใด เราควรที่จะศึกษาวัฒนธรรม การแต่งกาย วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นคร่าวๆ ก่อนทุกครั้งค่ะ คนบังคลาเทศส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม (ยกเว้นเมือง RAMU มีคนพุทธเยอะ) ก็ควรจะต้องเตรียมเสื้อผ้าที่มิดชิดหน่อย เสื้อแขนขาว กางแกงขายาว ทำนองนี้ ส่วนตัวเราไปซื้อเสื้อผ้าแถวประตูน้ำค่ะ เอาแบบ Kameez หรือ Phiran ก็จะดีค่ะ (เหมือนชุด dress ตัวยาวๆ แหวกด้านข้าง) เลือกเนื้อผ้าเบาๆ น่ิ่มๆ ใส่กับกางเกงยีนส์ ราคาน่าจะไม่เกิน 200-300บาท ก็จะทำให้เราดูกลมกลืนกับคนที่นี่ ดูน่ารักดี (คนที่นี่ชมด้วยว่าชุดสวย)ณ เวลานี้ก็ผ่านมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว ถ้าถามถึงเรื่องผลการทดลองของเรา ณ เวลานี้ยังคงต้องยังเก็บข้อมูลเพ่ิ่ม เนื่องจากเป็นการทดลองเกี่ยวกับผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องรายละเอียดรอบคอบในเรื่องการสรุปผลการทดลองให้แม่นยำที่สุด จึงยังไม่ได้มีการตีพิมพ์ออกมา และเมื่อผลการวิจัยตีพิมพ์ออกมาเมื่อใดจะเอามาเล่าให้ฟังแน่นอนค่ะ บทสรุปของเรา ก็คืือเมื่อเวลามองย้อนเวลากลับไป ณ ช่วงเวลาทำงานตอนนั้น มันทำให้เรามีความคิดว่า "เออเนอะ ทุกอย่างเราทำได้" ถึงแม้จะเหนื่อยมาก แต่ก็สนุกมาก ถึงแม้จะหิวมาก แต่พอได้กินขนมอร่อยๆ จากลุงป้าน้าอาญาติคนไข้ที่อุตส่าห์ซื้อมาฝาก ก็อิ่มท้อง อิ่มอกอิ่มใจ แม้ว่าชาวบ้านที่นั่นจะสื่อสารกับเราไม่ได้ แต่แค่เขายิ้มให้เรา เรายิ้มให้เขา ก็มีความสุขแล้ว นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในเรื่องเล่าของ นักวิทย์ ออก field ณ RAMU พบกันอีกคราวหน้านะคะภาพประกอบโดยผู้เขียน