อย่างแรกขอพูดถึงความเป็นมาของตัวเอง ว่าทำไมถึงไปอยู่ในประเทศอินโดนีเซียนี้ได้ ย้อนไปปี 2017 หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ได้มีโอกาสลองสมัครทุนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งทุนนี้เปิดรับนักศึกษาต่างชาติทั่วโลกเพื่อมาเรียนรู้ศึกษาภาษาและวัฒนธรรมในประเทศเขา ต่อมาด้วยความรู้สึกชอบประเทศนี้เป็นการส่วน ในปี 2019 ได้ลองสมัครทุนระดับปริญญาโทในสาขารัฐศาสตร์ ซึ่งระยะเวลาในการศึกษาทั้งหมดเป็นเวลา 3ปี รวมเรียนภาษา 1ปี ปัจจุบันยังเรียนภาษาอยู่ในเทอมที่ 2 กล่าวได้ว่าประเทศอินโดนีเซียขึ้นชื่อเรื่องของประชากรที่หนาแน่นและ 87 เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด19 ช่วงนี้ การที่ประทศอินโดนีเซียที่มีจำนวนประชากรมากถือเป็นข้อเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นการเว้นช่วงระยะห่าง หรือการดำเนินกิจวัตรประจำวันก็ตาม ถ้าจำไม่ผิดในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาของโรคระบาดครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพบผู้ป่วยรายแรกของประเทศหรือหรือการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด 19 ในประเทศไทยก็ตาม ในขณะเดียวกันประเทศอินโดนีเซียกว่าจะพบผู้ป่วยรายแรกก็หลังจากประเทศไทย 1 เดือนต่อมา หลังจากที่ประเทศอินโดนีเซียประกาศว่าพบผู้ป่วยรายแรก 2 คนเป็นพ่อลูกกันและดูสถานการณ์ตอนนั้นกลับรุนแรงมากขึ้น รวมถึงทั่วโลกในตอนนั้นประกาศปิดประเทศ ปิดร้านค้าต่างๆ หรือแม้กระทั้งปิดสถานศึกษาต่างๆและให้เรียนเป็นระบบออนไลน์แทน กลับมาที่ประเทศอินโดนีเซียประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของประเทศอินโดนีเซียได้ประกาศให้เฝ้าระวัง แต่ในตอนนั้นยังไม่มีการประกาศปิดประเทศ และต่อมาได้ออกมาประกาศอีกหลายๆครั้ง เช่น ประกาศปิดร้านค้า ปิดสถานศึกษาให้เป็นเรียนแบบออนไลน์แทน ปัจจุบันสถานการณ์ของประเทศอินโดนีเซียถือว่าทวีความรุนแรงมาเรื่อยๆ บางวันพบผู้ป่วยอย่างน้อย 400-500 คน บางวันพบผู้ป่วยอย่างมากถึง 1000 กว่าคน ซึ่งตอนนี้ผู้ป่วยของประเทศอินโดนีเซียโดยประมาณแล้ว 35000 คน รักษาหาย 12000 คน และผู้ป่วยที่เสียชีวิต 2000 คน แต่ประเด็นสำคัญตอนนี้ในขณะที่ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีมาก แต่ประเทศอินโดนีเซียกลับพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อสถานการณ์ในประเทศอินโดนีเซียดูเหมือนจะรับมือได้ยาก แล้วชีวิตนักศึกษาที่ติดอยู่ในประเทศนี้จะดำเนินอย่างไรให้ปลอดภัย อย่างแรกสิ่งที่คนต่างชาติย่างเราที่ต้องใช้ชีวิตต่างประเทศกลัวมากที่สุดคือการป่วยไข้ หรือเสียชีวิตที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง นั้นคือสาเหตุที่เรากลัวกับสถานการณ์ในตอนนี้มาก ต่อให้ดูแลตัวเองดีมากแค่ไหนแต่เราจะไม่รู้เลยว่าเราจะป่วยตอนไหน ช่วงสถานการณ์เกิดขึ้นแรกๆและเริ่มรุนแรงขึ้น บอกตามตรงว่าร้องไห้กับตัวเองบ่อยมาก กลัวไปหมด กลับไทยไม่ได้ ทุกคนเริ่มแตกตื่น ทุกคนเริ่มกักตุนของ ของเริ่มขาด ทุกอย่างดูแย่ไปหมด รวมถึงจิตใจเราด้วย ทุกคนเข้าใจไหมว่าเรามาเรียน ไม่ได้อยากมาเจ็บป่วยที่นี่ แต่ก็ต้องอดทน คุยกับที่บ้านทุกครั้งก็จะทำว่าตัวเองไม่เป็นไร ช่วงหลังต่อมาได้มีสถานทูตติดต่อมาถามไถ่ความเป็นอยู่ในตอนนั้น และได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูตเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้งในช่วงของขาด รวมถึงเป็นตัวแทนติดต่อกับรัฐบาลไทยเรื่องการดำเนินพาคนไทยกลับประเทศ ซึ่งถือว่าสถานทูตจัดการดำเนินเรื่องทุกๆอย่างได้รวดเร็วและรอบคอบ ต่อมาก็ได้รับความช่วยเหลือจากมหาลัยที่เรียนอยู่พร้อมๆกัน เช่น จัดอาหารแห้งให้ เจลแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย รวมถึงเงินเยียวยาเล็กน้อย เมื่อตอนนั้นเราได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสองฝ่าย ทำให้รู้สึกปลอดภัยและรู้สึกดีมากๆ ส่วนการดำเนินกิจวัตรต่อๆมาเริ่มชินกับสถานการณ์มากขึ้นว่าควรดำเนินอย่างไรเพื่อให้ตัวเองห่างจากโรคระบาดครั้งนี้ ส่วนมากจะอยู่แต่ในบ้าน เรียนออนไลน์ในบ้าน ทำอาหารกินเอง เวลาอาหารเริ่มหมดก็จะเลือกช่วงเวลาคนน้อยๆออกไปตลาดเล็กๆ ใกล้ๆที่พัก หรือเลือกที่จะไปซุปเปอร์มาเก็ตมากกว่าเพราะคนไม่เยอะ กลับบ้านรีบอาบน้ำ ซักเสื้อผ้าในทันที ส่วนสิ่งของที่ได้มานั้นจะฉีดแอลกอฮอล์ทุกอัน และจะซื้อของในปริมาณมากๆเพื่อหลีกเลี่ยงการออกข้างนอก สุดท้ายต้องขอบคุณทุกความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางสถานทูต ทางมหาลัย ทางครอบครัวที่ไทย รวมถึงเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมพร้อมกับเราในตอนนั้น ตอนนั้นยอมรับว่าจิตใจแย่มาก พวกเราต่างให้กำลังใจและช่วยเหลือกันเอง สู้และอดทนไปพร้อมกัน ส่วนคนไทยที่คอยเป็นกำลังใจให้พวกเราทุกคน พวกเรารู้สึกถึงกำลังใจที่คุณส่งมาให้และต้องขอบคุณมากๆนะคะ