เครดิตภาพปกจาก StockSnap / Pixabay ก่อนอื่นเราขอชี้แจงแก่ผู้อ่านทุกท่านก่อนว่า บทความนี้เป็นเพียงบทความที่นำเสนอเรื่องราวและมุมมองการเผชิญกับโรคซึมเศร้าจากประสบการณ์ส่วนตัวและเป็นการเล่าเรื่องราวของผู้เขียนเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการตัดสินผู้อื่น ชักจูง หรือทำให้ผู้อ่านทุกท่านเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า หรือผู้ที่เผชิญกับโรคนี้อยู่ เราเพียงต้องการแชร์ประสบการณ์ให้คนที่สนใจหรือพยายามทำความเข้าใจกับโรคนี้ ได้ลองฟังมุมมองต่างๆจากตัวตนของเรา เพื่อที่จะได้เข้าใจคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น โรคซึมเศร้า หลายคนคงเคยได้ยินกันจนชินหูแล้ว บางคนเข้าใจว่าผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการอย่างไร เป็นคนที่มีมุมมองความคิดประมาณไหน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าผิดไป วันนี้เราจะมาเล่ามุมมองของตัวเองที่เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเผชิญกับโรคนี้ให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ เครดิตภาพจาก Anemone123 / Pixabay 1. ความรู้สึกเมื่อดาวน์ "ว่างเปล่า" ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับเราแทบจะทุกครั้งที่มีอาการ ทุกๆครั้งที่มองไปรอบๆตัว เราเห็นผู้คนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง เพื่อนพยายามอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าหมอ ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้เพราะแมวของเธอหายไป เราเห็นทุกคนต่างดิ้นรนและใช้ชีวิตของตัวเองไป ในหัวเราพลันคิดว่า "แล้วเราล่ะ เราต้องทำอะไร เราต้องรู้สึกอะไร หรือเราควรทำอะไรดี" แม้จะมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย แต่เรากลับมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองเลย ถ้าจะให้เปรียบก็คือ เหมือนคุณอยู่ในสถานที่ที่ขาวโพลนไปหมด ไม่มีสีสันอื่น ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีตึกราบ้านช่อง ทุกอย่างเป็นสีขาว และมีแค่คุณอยู่ตรงนั้น มันดูโล่งจนน่ากลัว เครดิตภาพจาก icsilviu / Pixabay 2. มุมมองต่อสิ่งรอบข้าง "เหนื่อย" ทุกๆครั้งเวลาที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง ยิ่งถ้าต้องไปพบเจอผู้คนยิ่งรู้สึกเหนื่อย ราวกับต้องรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีไปกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน บางครั้งรู้สึกไม่อยากทำอะไรด้วยซ้ำ เวลาใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นก็ต้องสวมบทบาทเป็นอีกคน คนที่แสดงออกว่าเหนื่อยไม่ได้ คิดมากไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้ใครรู้สึกเป็นห่วง ไม่อยากทำให้คนอื่นไม่มีความสุขเพราะเรา ไม่อยากเป็นภาระของใคร สิ่งที่ทำได้คือเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ยิ่งเป็นคนที่เรารัก เรายิ่งไม่อยากให้เขารับรู้ เครดิตภาพจาก geralt / Pixabay 3.ขัดแย้งกับตัวเอง เราขัดแย้งกับตัวเองบ่อยมาก หลายครั้งที่รู้สึกดาวน์หรือดิ่ง เราอยากระบายสิ่งที่อยู่ในใจของเราให้ใครสักคนฟัง อยากได้กอดจากใครสักคน อยากได้ยินคำว่า "ไม่เป็นไรนะ เราอยู่ตรงนี้" เพราะทุกครั้งที่ดาวน์เราจะรู้สึกเหมือนเหลือตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเราเป็นอะไร ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเราไม่สบายใจ เพราะเราไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง เครียด หรือเป็นทุกข์เพราะเรา ถ้าการที่เราเล่าสิ่งที่อยู่ในใจให้ใครสักคนฟังแล้วทำให้เขาไม่สบายใจ เราสู้เก็บไว้คนเดียวดีกว่า นี่คือความคิดของเรา แต่มันไม่ดีและไม่ถูกต้องเลย เพราะยิ่งเราเก็บมันไว้ มันก็จะสะสมรอวันระเบิดออกมา สิ่งที่ควรทำคือ เราต้องหาทางระบายมันออกมา ถ้าหากไม่อยากเล่าให้ใครฟัง ก็ลงพูดกับตุ๊กตา ร้องไห้ในห้องคนเดียว เขียนระบาย ทำยังไงก็ได้ที่ไม่ใช่การทำร้ายตัวเอง เราเคยทำร้ายตัวเองนะ แต่เราเห็นคนที่เรารักเครียดและเสียใจ ร้องไห้เพราะเป็นห่วงจากสิ่งที่เราทำ เราเลยคิดได้ว่า เราไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้น เราเลยเลือกที่จะร้องไห้เพื่อระบายแทน มันช่วยได้ประมาณหนึ่งเลยล่ะ เครดิตภาพจาก Greyerbaby / Pixabay 4. การคิดฆ่าตัวตาย เราเคยผ่านการคิดฆ่าตัวตายและทำร้ายตัวเองมาแล้วประมาณ 10 ครั้ง เพราะเราไม่รู้ว่าจะเอาความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ข้างในออกไปได้ยังไง ตอนนั้นครอบครัวเราก็ไม่มีใครเขาใจเราสักคน เราบอกกับเขาไปว่า เรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง เราทำร้ายร่างกายตัวเอง เขาก็ตอบกลับมาว่า "เป็นบ้าหรอถึงทำแบบนั้น" เราพยายามจะอธิบาย แต่ด้วยยุคนั้นและเราเองก็อาศัยอยู่บ้านนอก ความรู้เรื่องโรคนี้ก็ยังเข้าไม่ถึง เราเลยตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรอีก เก็บทุกอย่างไว้ในใจ ตอนนั้นน่าจะป.2 เท่าที่เราจำได้ เราใช้วิธีการคุยกับตุ๊กตาหมีทุกครั้งที่รู้สึกแย่ หรือไม่ก็นั่งคุยกับพี่เจมส์ (พี่เจมส์คือหมาของเรา แต่เขาเสียไปนานแล้ว) เรากอดพี่เจมส์แล้วร้องไห้ทุกครั้ง พี่เจมส์ก็จะคอยนอนอยู่ข้างๆไม่ไปไหน พอขึ้นมัธยม เราได้รู้จักเคป๊อบ มันช่วยเราได้มากเลยล่ะ เราไม่ต้องคุยกับตุ๊กตาอีกแล้ว เราใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหลงใหลในเคป๊อบ อ้อ เราชอบ BTS นะ ติดตามมาตั้งแต่เดบิ้วต์ เผื่อจะมีใครเป็นอาร์มี่เหมือนกัน อิอิ เราใช้เคป๊อบเยียวยาตัวเองเรื่อยมา จนถึงจุดที่อาการมันหนักขึ้น เคป็อบที่เราชอบก็ช่วยเราไม่ได้เหมือนก่อน เราจึงตัดสินใจเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวทแห่งหนึ่ง เครดิตภาพจาก geraldoswald62 / Pixabay 5. การเข้ารับการรักษา การเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรเลย เราต้องพึงนึกไว้ว่าสิ่งที่เราเป็นมันไม่ใช่แค่อาการ แต่มันคือโรคชนิดหนึ่ง คือความผิดปกติส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เมื่อเราป่วย เราก็ต้องรักษาถูกไหม การรักษาที่เราได้รับคือ การเล่าอาการและความรู้สึกให้หมอฟัง หมอจะวินิจฉัยและจ่ายยามาให้เรากิน ช่วงแรกเรามีอาการเวียนหัว ไม่ค่อยรู้สึกหิวข้าว ซึ่งหมอบอกว่ามันเป็นอาการเริ่มแรกของการรับยา ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งจะดีขึ้น ไม่ได้อันตรายอะไร ปัจจุบัน เรารักษามาปีกว่าแล้ว อาการเราดีขึ้นเรื่อยๆ เรามีสติมากขึ้น มองโลกมุมกว้างขึ้น มีเป้าหมายในชีวิต มีสิ่งที่อยากทำเต็มไปหมด เรารู้สึกดีกับตัวเองกว่าเมื่อก่อนเยอะขึ้นมาก สำหรับใครที่ยังลังเลหรือสงสัยว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้าหรือเปล่า สามารถไปพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาเบื้องต้นได้นะคะ เราไม่สบาย เราก็ต้องรักษา คนรอบข้างก็สำคัญนะคะ เพราะต่อให้คนไข้เข้ารับการรักษาดีแค่ไหน ถ้าคุณไม่พยายามเข้าใจเขา เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหาเขา มันก็เป็นเรื่องยากที่อาการของคนไข้จะดีขึ้น ถึง ผู้ที่ใกล้ชิดคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า - ถ้าคุณรักเขา ค่อยอยู่ข้างๆเขา เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย แค่ต้องการคนที่อยู่ข้างๆเวลาไม่สบายใจและต้องการคนรับฟังเท่านั้นเองถึง คนที่กำลังเผชิญกับโรคซึมเศร้า - เราเองก็เป็นเหมือนคุณ เราดีขึ้นได้ คุณเองก็ดีขึ้นได้ โลกนี้มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกเยอะนะ อย่างน้อยๆก็ต้องไล่กินไอศครีมให้ครบทุกรสก่อนสิ :) ..YOU NEVER WALK ALONE :)..เรื่องโดย PINOKI ขอบคุณภาพสวยๆจาก Pixabay ภาพปก ภาพที่1 ภาพที่2 ภาพที่3 ภาพที่4 และ ภาพที่5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !