สวัสดีค่า ไม่ทราบว่ามีใครเคยเป็นไหม ทานอาหารไทย อาหารอีสานมาทั้งชีวิต แต่มีความดัดจริตอยากไปเที่ยวต่างประเทศ คำถามคือ “จะกินอาหารบ้านเขายังไงละแม่ ?!” พูดก็พูดเลยว่า เวลาหิวทีไร เมนูที่ปิ๊งออกมาจากหัว ก็ไม่วายที่จะเป็นอาหารรสแซ่บ รสนัว รสอูมามิ แต่พอเราต้องไปแดนปลาดิบ ที่มีซูชิ เอาล่ะสิงานนี้ น้ำหนักจะลดไหม วันนี้ดิฉันจะมาแชร์ประสบการณ์กลัวตัวเองผอมให้ฟังค่ะ เริ่ม!!!! Japan calling ...เอาล่ะสิงานนี้ เดินทางมายาวนาน แถมต่อเครื่องอีก หิวไส้กิ่วแล้ว เอ๊ะ !!! ลืมอะไรไปสนิท เตรียมข้อมูลการเดินทางครบถ้วน แต่ดันลืมหาข้อมูลร้านอาหาร โอ้ว แม่เจ้า แล้วน้องจะรอดมั้ยเนี่ยยยยยยย ขอฝากท้องไว้ที่แฟมิลี่มาร์ทหน้าปากซอยโรงแรมแล้วกัน ตามวิถีเด็กอ้วน ก็ขอพุ่งชนไปที่เมนูแรกของเราเลยแล้วกัน “ข้าวหน้าหมูสามชั้นไข่ออนเซ็น” ยั่วมากกก สวาปามไปเลยค๊าบบบ บอกเลยจานแรกทำอะไรเราไม่ได้ เบิ้ลสิจ๊ะรออะไร และเรายังคงคอนเซ็ปเดิม คือสามชั้น ลั้ลลาต่อกับเมนูที่2 “หมูสามชั้นและถั่วงอกโง่ๆ” ในความคิดคือมันต้องนัวแหละ แต่คือซอสที่ให้มาดันเป็นซอสเปรี้ยว นี่ก็เล่นเทซะฉ่ำเลย โง่อีกแล้วเรา กินไปในใจก็พลางคิดถึงก๋วยเตี๋ยวแชมป์ ตกดึกก็นึกถึงสิ่งที่พกมาในกระเป๋าเดินทาง เห็นทีพรุ่งนี้เราต้องแพลนหาอาหารสนองนี๊ด ที่อุตส่าแบกเจ้าสิ่งนี้ข้ามฟ้ามา และเขาคนนั้นคือ .... ใช่แล้วค่ะ น้องเขาคือ “น้ำจิ้มซีฟู้ด” ที่เราได้มาจากเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน แต่ตอนนี้วงวารตัวเองมาก ไม่รู้จะเอามากินกับอะไร แต่วันนี้ชั้นต้องได้ใช้มันแน่ ๆ ชั้นสัญญา !!!!! แท๊แด !!! มาถึงแล้ว “ตลาดปลาอะเมโยโกะ” เดินมาด้วยใจหิว ดีนะไม่ไกลจากที่พักมากแต่มาถึงร้านค้ายังไม่เปิดเยอะเท่าไหร่ พร้อมแล้วเราก็ลุยหาของกินที่จะเอาไปกินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดกันเล้ย!!! ตู้วหูววววววว!!! อาหารทะเลสด ๆ ฉ่ำ ๆ น่ากินทุกอย่างเลย อยากกินไปหมด มันทั้งใหญ่และสดมาก ๆ เสียดายไม่รู้จะกินยังไง เดินต่อค่ะ ๆ หิว ๆ ปลาหมึกสด ๆ ตัวใส ๆ เด้ง ๆ กันเลยจ้าพี่น้อง!! แซลม่อนยั่ว ๆ จ้า แต่บอกแบบเขิน ๆ นิดนึงว่า กินดิบไม่เป็นจ้า บ้านนอกของแท้ มาถึงถิ่นซาซิมิแต่กินไม่เป็นเด้อจ้า คุณลุงเจ้าของร้าน อัธยาศัยดีมาก เฟรนลี่มาก ชวนคุยแถมบอกให้เราถ่ายรูปแกด้วย พูดไทยได้นิดหน่อยอีกต่างหาก น่ารักสุดๆไปเลยค่า เดี๋ยวหนูขอเดินก่อนเด้อลุง เดี๋ยวหนูกลับมาซื้อกุ้ง ตอนเดินผ่านทีไร เห็นละขำแรงมาก ทำไมเอาน้องมาไว้แบบนี้ เพราะภาพที่บ้านเราเห็นแต่บางบนเตาร้อน ๆ แต่ที่นี่เขาเอาวางหน้าร้านในกะบะ แล้วก็หยิบเสิร์ฟแบบทั้งขา แบบงง ๆ คิดว่าตลกมาก ใครจะไปกิน สุดท้าย...ชั้นเองจ้า ซื้อกลับห้องจ้าแม่จ๋า สุดท้ายก็วกกลับมาร้านลุงจ้า แว๊บไอเดียขึ้นมาได้ว่า กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ด คงแซ่บแน่ ๆ แก้ขัดอาการคิดถึงอาหารไทยได้แน่นอน ด้วยความโง่เป็นเหตุ ไอ้เราเห็นกุ้งสีส้ม ๆ เหมือนกุ้งบ้านเราที่สุกแล้ว แต่นางแช่แข็งมานะรุ่นนี้ เพราะคิดว่าเอาสะดวก กินในห้อง เอาแบบสุกแล้วดีกว่า เลยไม่เอาพวกกุ้งเปลือกเขียว แต่ผิดค่ะ !!! กุ้งญี่ปุ่นพันธุ์นี้มันสีส้มค่ะ !!! น้องโง่อีกล๊าววววววพี่จ๋า อุตส่าเอาไปละลายน้ำแข็ง พอจะกิน มันดิบค่ะซิส ยืนงงในดงโตเกียวเลยค่ะ มองไปรอบ ๆ ตัว และนี่คือหนทางเดียวของเราค่ะ ช่วงเปลี่ยนเคาท์เตอร์บาร์ ให้เป็นครัวไทยค่ะ ! โชคดีมาก ที่ห้องเป็นกาน้ำร้อนแบบสมัยเก่านิด ๆ ชั้นเล็งเห็นศักยภาพในตัวเจ้านี่ โอม.... จงแปลงร่างเป็นหม้อชาบูบัดเดี๋ยวนี้ !!! ทันใดนั้นเอง น้องกุ้งตัวแรกก็ได้ลงไปในหม้อชาบูจิ๋วของเรา มันเป็นไปได้ดีมาก ๆ วันนี้เรารอดแล้วโว้ย!!! แม่จ๋า หนูไม่อดตายแล้วจ้า!!! ถ่ายรูปหมู่กันหน่อยสาว ๆ เอ๊ะ! นั่นขาอะไรคุ้น ๆ ใครบอกตลก แต่ซื้อมาแล้ว งงมาก แถมมีลูกสมุนมาจากแฟมิลี่มาร์ทอีก 2 อย่าง คือ ผักรวม และข้าว ซึ่งโง่อีกแล้ว ไม่รู้ว่าข้าวแบบนี้คือข้าวที่มันเปรี้ยว โง่จิงจังโง่มาก ๆ รอดไปอีกหนึ่งมื้อ กินมันทั้งวันอ่ะวันนี้ หลังจากทำลายหลักฐาน ล้างกาน้ำร้อน ล้างอะไรเสร็จสรรพ เอาขยะลงมาทิ้งข้างล่างโรงแรม ทำทุกอย่างให้เข้าที่ก็ขอรีแล็กซ์ด้วยไอติมหน่อยละกันนะคะ เป็นวันที่ตลกและวันพักผ่อน และการเอาตัวรอดอย่างหวุดหวิด เพราะความงกเป็นเหตุที่ไม่เข้าร้านอาหาร อีกอย่างเราไปเที่ยวคนเดียวด้วย กลัวไม่ประทับใจและกลัวหลายๆอย่างในร้านอาหาร เลยเลือกที่จะซื้อมากินที่ห้อง ปล. เราอยากจะแชร์วิธีแก้สถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้นนะคะ ไม่แนะนำให้ทำอาหารบนห้อง ด้วยเรื่องกลิ่นและความสะอาด เพราะถ้าทางโรมแรมรู้อาจจะเสียค่าปรับได้นะตัวเอง แต่ถ้าไปรอบหน้า จะไปชิมร้านอาหารมาฝากนะคะ ตอนนี้หัดกินซูชิแล้วนะขอบอก ยังไงวันนี้ขอตัวลาไปก่อน ไว้จะมาแชร์ประสบการณ์แปลกใหม่พิลึกไม่เหมือนใครใหม่นะคะ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ : )