ถ้าพูดถึงประเทศฟิลิปินส์ หลายคนคงนึกถึง ประเทศนางงาม แต่ถ้าถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็คงเกาหัว นึกไม่ค่อยออก สำหรับสายทะเลอาจจะคุ้นหูกันบ้างกับ เกาะเซบู ว่ายน้ำกับปลาวาฬ น้ำทะเลใสกิ๊ก ทรายละเอียด ไม่แพ้ภาคใต้บ้านเราเลย เกริ่นขนาดนี้แน่นอนเราจะไปทะเลกัน แต่เราไม่ได้ไปเพื่อดำน้ำ เราไปเพื่อเดินชมวิวเมืองสเปนริมทะเลที่ Las casas filipinas de acuzar (ชื่ออย่างยาว) ไหนว่าไปฟิลิปินส์ แล้วโผล่สเปนได้ยังไง ได้ไม่ได้เราจะพาไปดู Las casas filipinas de acuzar รีสอร์ทและพิพิธภัณฑ์สถานขนาดใหญ่ริมทะเลที่เมือง บาตาอัน ประเทศฟิลิปินส์ อาณาจักรขนากลางที่รวบรวมตึกราบ้านช่องศิลปะแบบสเปนจากทั่วประเทศย้ายมาอยู่ที่นี่ เพื่อบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์และความเดิมตอนที่แล้วของประเทศ ที่บอกว่าย้ายมาคือเขาย้ายมาจริงๆ ตึกอาคารที่เห็นอยู่นั้นเขารื้อมาจากของเดิม แล้วมาสร้างใหม่ที่นี่ อิฐก้อนต่อก้อน ประกอบองศาเดิม ให้เหมือนเดิมเป๊ะ ทำไมถึงเป็นศิลปะแบบสเปน ในสมัยยุคล่าอาณานิคม ประเทศฟิลิปินส์โดนปกครองโดยประเทศสเปนมานานหลายปีโข ศิลปะ วัฒนธรรมก็เลยรับมาจากสเปนเยอะ ถึงแม้ว่าปัจจุบันฟิลิปปินส์จะเป็นเอกราชแล้วแต่ก็ยังคงมีสิ่งที่ได้รับจากสเปนหลงเหลืออยู่เช่น ชื่อของชาวฟิลิปินส์ที่ใช้ชื่อแบบคนสเปน ชื่อจังหวัด ชื่อถนน เป็นต้น การเดินทาง เราเดินทางด้วยรถส่วนตัว เริ่มต้นจากเมืองหลวง Manila ไป Bataan (บาตาอัน) ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน หลับบ้างตื่นบ้าง ระหว่างทางไปบาตาอัน จะเห็นหลักสีขาวคล้ายหลักกิโลเป็นระยะๆอยู่ข้างทาง สอบถามมาได้ว่าหลักนั้นคือหลักบอกระยะทางที่นักโทษทหารต้องเดิน ในช่วงแพ้สงครามญี่ปุ่น ค.ศ.1942 นักโทษทหารฟิลิปปินส์และอเมริกัน (อเมริกามาช่วยฟิลิปินส์ในการรบ) ประมาณ 60,000 - 80,000 คน ถูกบังคับให้เดินไปค่ายทหารของญี่ปุ่น โดยห้ามหยุดพัก ไม่มีอาหารให้ ระหว่างทางมีการทำร้ายร่างกายจากทหารญี่ปุ่น หากใครเดินไม่ไหวหรือล้มลงต้องถูกเฆี่ยนตีและล้มตาย เป็นระยะทางกว่า 112 กิโลเมตร วิธีทรมานแบบนี้เรียกกันว่า Death March ในเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย ภายหลังญี่ปุ่นออกมาขอโทษและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ความเจ็บปวดของชาวฟิลิปินส์และอเมริกาไม่มีวันจางหายไป นั่งมานานในที่สุดก็ถึง Las casas filipinas de acuzar เราพุ่งตรงไปที่ทะเลข้างหน้าก่อนเลย (เป็นคนชอบทะเล) ทรายที่นี่สีดำธรรมชาติ ไม่ใช่จากคราบน้ำมันหรืออย่างใด ทรายละเอียด น้ำใส เดินเลียบชายหาดไปก็จะเจอพิพิธภัณฑ์อาคาร ที่นี่กว้างมาก ในแต่ละอาคารมีห้องภายในจริงๆไม่ใช่แค่ฉากหน้าเหมือนถ่ายทำหนัง ใครเดินไม่ไหว มีรถพาทัวร์ให้บริการ เราเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งที่เปิดให้เข้าชม ตัวบ้านโอ่งโถงใช้ได้ โล่งจนแอบหลอนเพราะไม่มีใครเลย ขึ้นไปชั้นสองมีห้องประมาณ 3 - 4 ห้องแต่ไม่เปิดให้เข้าชมเพราะน่าจะเป็นส่วนที่สงวนไว้ เดินทะลุมาหลังบ้านเซอร์ไพรส์มากเพราะเจอคลองน้ำ ระดับน้ำเท่ากับระดับพื้นพอดีเป๊ะ หันหน้าเข้ากับอีกอาคารที่มีท่าเรือเหมือนกับอาคารนี้ ตึกค่อนข้างโทรมและคลองน้ำไม่สะอาดเท่าไหร่ ถ้ามีการจัดการดูแลที่ดีกว่านี้จะสุดยอดมากๆ เสียดาย วิวจากท่าเรือหลังบ้านที่เราอยู่ แนวคิดน่าจะคล้ายๆคลองเวนิชที่อิตาลีรึเปล่า เราก็ไม่มั่นใจ เดินออกจากตัวบ้าน มายืนดูวิวจากสะพานที่เรามองเห็นจากหลังบ้านเมื่อกี้ วิวสวยมาก ในรูปขวามือคือพื้นที่สำหรับจัดงาน เดาว่าน่าจะใช้ในงานแต่งและงานมงคล อาคารเหล่านี้เคยมีเจ้าของอยู่จริง ที่ลานกิจกรรมกว้าง จะสามารถมองเห็นวิวรอบๆ ตึกซ้ายมือสีขาวคือโบสถ์ เห็นว่าที่รีสอร์ทมีแพคเกจงานแต่งงาน ที่นี่น่าจะเป็นที่นิยมน่าดู มีบริการนั่งเรือชมรอบๆ บรรยากาศโรแมนติกสุด หันหลังกลับไป พระอาทิตย์จะตกแล้วนี่นา ต้องรีบไปดูพระอาทิตย์ตกที่ริมทะเล นั่งฟังเสียงคลื่น อากาศไม่ร้อน คนไม่เยอะ มืดแล้วเราก็ย้อนกลับเข้ามาที่พิพิธภัฑณ์ ตึกที่นี่พอใส่ไฟเข้าไป สวยมาก สวยคนละแบบกับตอนกลางวัน และส่งท้ายด้วยโชว์จากรีสอร์ทที่ลานกิจกรรมเมื่อกี้ที่เรามา นั่งดูเพลินๆ ที่เราพาไปไม่ใช่ทุกมุมของ Las casas filipinas de acuzar เรายังไม่ได้ไปในส่วนของตัวรีสอร์ท ร้านอาหาร และอีกมากมาย กว้างมากจนไม่สามารถเดินดูให้ทั่วภายใน 4-5 ชั่วโมงได้เลย ได้ทั้งความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ สถานที่ที่คนไทยหลายคนไม่รู้จักในฟิลิปินส์ และเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสถานที่ๆอเมซิ่งแบบนี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก ภาพถ่ายโดยผู้เขียน