การที่โลกเรามีพัฒนาการจากยุคหินมาถึงยุคปัจจุบันได้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่มนุษย์มีการศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาปรับปรุงอยู่ตลอดมา โดยหนึ่งในวิธีการศึกษาเรียนรู้ที่ได้ผล คือ การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจากการปฏิบัติ โดยมีการแนะนำ สั่งสอน ชี้แนะ ถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นความรู้เกี่ยวกับการทำงานหรือเรื่องอื่น ๆสำหรับการทำงานนั้น หลาย ๆ องค์กรก็มีการให้สมาชิกในองค์กรได้เรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ในรูปแบบของการแนะนำสอนงาน โดยผู้บังคับบัญชา หัวหน้า หรือรุ่นพี่ที่มีอาวุโสกว่า เป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจ แนะนำ เสนอแนะการทำงานให้แก่รุ่นน้อง ผู้ที่อยู่ในความดูแล หรือผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า ซึ่งเมื่อผู้ที่ได้รับการแนะนำสั่งสอนนี้เจริญเติบโตขึ้นไปอยู่แถวหน้าในฐานะหัวหน้างานหรือผู้ที่อาวุโสสูงขึ้น ก็จะเลื่อนสถานะเป็นผู้ตรวจงานหรือแนะนำสั่งสอนแก่ผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า หรือคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาต่อไป ซึ่งการตรวจงาน แนะนำสั่งสอนงานนี้ บางคนอาจจะมองว่าเป็นเทคนิคหรือความสามารถเฉพาะตัวในการถ่ายทอดองค์ความรู้ แต่บางเรื่องก็สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน ๆ ที่แนะนำสั่งสอนกันได้/ภาพโดย Free_photo จาก Pixabay/ผู้เขียนเองก็เป็นคนหนึ่งที่เติบโตมาจากการเป็นคนทำงานชั้นผู้น้อย ที่มีโอกาสได้รับคำแนะนำ สั่งสอนในการปฏิบัติงานตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการทำงาน จนเมื่ออายุงาน (ย้ำ! อายุงานนะไม่ใช่อายุคน ฮ่า!) มากขึ้น สถานะก็เริ่มขยับมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องทำหน้าที่ พิจารณา ตรวจงาน และให้ข้อเสนอแนะหรือความเห็นต่องานของรุ่นน้องและลูกน้องเหมือนที่พี่ ๆ เคยทำ วันหนึ่งมีโอกาสนั่งสนทนากับพี่ ๆ เพื่อเปิด (รับ) ประสบการณ์ รับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์ในการตรวจงานและสอนงานให้บังเกิดผลดี ซึ่งก็ได้รับการแบ่งปันแนวคิด เทคนิคดี ๆ จากรุ่นพี่ เมื่อประมวลผลรวมกับประสบการณ์ที่ตนเคยได้รับ ทำให้มองเห็นแนวทางการตรวจ แนะนำการทำงานแก่คนอื่นนั้น ผู้ตรวจควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้1. คนตรวจต้องรู้จริง อ้างอิงได้/ภาพโดย 889520 จาก Pixabay/ก่อนที่เราจะไปพิจารณา แสดงความเห็นหรือแนะนำสั่งสอนงานแก่ผู้อื่น เราก็จำต้องมีความรู้ความเข้าใจในงานนั้นอย่างถ่องแท้ ทั้งหลักการ ความรู้ทางทฤษฎีและทักษะในการปฏิบัติ เหมือนโค้ชผู้ฝึกสอนนักกีฬาที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในเกมกีฬานั้น ๆ เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถเข้าถึงรายละเอียดในแต่ละด้านของสิ่งที่เราพิจารณา สามารถชี้ให้เห็นจุดเด่นและข้อด้อยได้ตามหลักการหรือตัวชี้วัด มิใช่อาศัยเพียงความเห็นหรือความรู้สึกส่วนตัวที่อาจทำให้ข้อพิจารณาผันผวนจากทิศทางที่ควรจะเป็น อีกทั้งความรู้ความสามารถของผู้ตรวจและสอนงานนี้ ยังเป็นเครื่องการันตีคุณภาพ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้รับการตรวจหรือคำแนะนำในการทำงาน ว่าผลการตรวจหรือคำแนะนำนั้นเป็นเสมือนผลที่ผ่านการประเมินจากเครื่องวัดคุณภาพด้วย โดยผู้ที่ตรวจพิจารณาและเสนอความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ (Comment) นั้นเป็นผู้รู้จริง หากจำเป็นก็สามารถปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างได้ ทั้งนี้ ความรู้ที่ใช้เป็นหลักในการตรวจพิจารณาหรือสอนงานนี้ อาจได้จากการสั่งสมมาแต่เดิม หรือค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อใช้อ้างอิงในการพิจารณาหรือเสนอแนะให้ผู้รับการพิจารณาไปสืบค้นเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาปรับปรุงงานนั้น 2. ชี้ข้อบกพร่อง ต้องแนะนำการแก้ไข/ภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay/การพิจารณาเพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้นนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตรวจสามารถค้นหาข้อบกพร่องหรือจับผิดได้มากน้อยเพียงใด หากแต่อยู่ที่ว่า เมื่อค้นพบจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขแล้ว สามารถชี้แนะแนวทางปรับปรุงแก้ไขได้มากเพียงใด เพราะหากเป็นแค่การพิจารณาเพื่อติชมนั้น วิญญูชนทั่วไปก็สามารถทำได้ไม่ต่างกันมากนัก เหมือนการมองหารูรั่วของภาชนะ ที่คนสายตาปกติย่อมจะมองเห็นได้ใกล้เคียงกัน แต่การที่จะหาวิธีอุดรูรั่วให้ได้ผลดีนั้น ต้องอาศัยความตั้งใจที่ดี ความละเอียดถี่ถ้วน แนวคิดที่แยบยลขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง รวมถึงต้องใช้ศิลปะในการสื่อสารข้อเสนอแนะด้วย เพราะบางคนที่เป็นหัวหน้างาน หรือผู้ที่ต้องทำหน้าที่ ตรวจ แนะนำ การทำงาน เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ พิจารณาติชม วิพากษ์วิจารณ์งานได้ แต่ยังขาดทักษะในการถ่ายทอดองค์ความรู้ หรือแนะนำผู้อื่น ก็ไม่อาจช่วยให้งานนั้นได้รับพัฒนาปรับปรุงได้เท่าที่ควร ดังนั้น ความสามารถในการให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะในการแก้ไขข้อบกพร่องงาน จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้ตรวจงานต้องมี 3. หลีกเลี่ยงการให้แก้ไขแบบกะปริบกะปรอย/ภาพโดย geralt จาก Pixabay/พฤติกรรมการตรวจพิจารณางานอย่างหนึ่งที่ไม่พึงประสงค์สำหรับผู้รับการตรวจ คือ ได้รับการพิจารณาให้กลับมาแก้ไขหลายคราว ในลักษณะ "กะปริบกะปรอย" คือ ให้แก้ไขคราวละนิดละหน่อย ในประเด็นที่ต่างกัน ทั้งที่สามารถแจ้งให้แก้ไขได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นการทำให้งานล่าช้าโดยใช่เหตุ และอาจสะท้อนถึงศักยภาพหรือความละเอียดถี่ถ้วนในการตรวจพิจารณางานของผู้ตรวจด้วย ดังนั้น ในการตรวจงานแต่ละครั้ง หากพบข้อบกพร่องที่จำต้องได้รับการแก้ไข ผู้ตรวจงานก็ควรรวบรวมข้อบกพร่องเหล่านั้นในแต่ละเรื่องไว้ให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถแจ้งให้ผู้ปฏิบัติหรือเจ้าของงานนั้นรับกลับไปแก้ไขในคราวเดียว หรือหากจะต้องแก้ไขหลายคราวก็ควรจะเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควรทำให้ไม่อาจตรวจพบข้อบกพร่องได้ในคราวเดียวและมาตรวจพบภายหลัง ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอน เวลาในการปฏิบัติงาน ให้สามารถนำเวลาที่เหลือไปใช้พัฒนาปรับปรุงงานด้านอื่นให้ดีขึ้น อันจะเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานและองค์กรมากกว่า4. ถ้าคนตรวจมากกว่าหนึ่ง ต้องคำนึงให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน/ภาพโดย mohammed_hassan จาก Pixabay/อีกสถานการณ์หนึ่งในการตรวจพิจารณาหรือแนะนำการทำงาน ที่อาจสร้างความสับสนแก่ผู้รับคำแนะนำ คือ กรณีที่ผู้ตรวจหรือแนะนำมีมากกว่าหนึ่งคน เช่น องค์กรหรือหน่วยงานที่ต้องเสนองานผ่านหัวหน้ามากกว่าหนึ่งลำดับชั้น หรือมีผู้ทำหน้าที่ตรวจพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการหรือทีมงาน ซึ่งผู้ตรวจแต่ละท่านมีความเห็น ข้อพิจารณา หรือคำแนะนำที่แตกต่าง ขัดแย้ง หรือไม่เป็นมาตรฐานอันเดียวกัน ทำให้ผลการพิจารณางานหรือคำแนะนำที่มีต่องานนั้นมีหลากหลายแนวทาง โดยเฉพาะหากเป็นกรณีที่แนวทางที่หลากหลายนั้นไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ประหนึ่งว่าผู้ตรวจผู้แนะนำแต่ละท่านต่างก็มีแนวทางหรือมาตรฐานเฉพาะตน ย่อมอาจก่อให้เกิดความสับสน และส่งผลให้ขาดความเป็นเอกภาพ ดังนั้น หากเราต้องเป็นหนึ่งในบุคลากรที่อยู่ในขั้นตอนการตรวจพิจารณาหรือแนะนำงาน ก็ควรจะศึกษา หารือ ทิศทางและมาตรฐานที่ต้องการจากงานที่ได้รับการนำเสนอ เพื่อให้สามารถเสนอแนะแก่ผู้ปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ ตรงตามเป้าหมายและความต้องการขององค์กรหรือหน่วยงาน 5. ติเพื่อก่อ อย่าลืมยอเพื่อสร้างกำลังใจ/ภาพโดย PaliGarficas จาก Pixabay/คุณอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ติเพื่อก่อ ไม่ใช่ยอเพื่อทำลาย" ซึ่งอาจเป็นที่มาของค่านิยมในการวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบแต่อย่างเดียว โดยอ้างว่าเป็นการตำหนิเพื่อสร้างแรงกระตุ้นในการก่อให้เกิดการพัฒนา ปรับปรุง หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว ศิลปะอย่างหนึ่งในการเป็นผู้ตรวจ พิจารณา แนะนำการทำงานนั้น ควรต้องใช้ทั้งการติและการยกยอหรือชมควบคู่กันไป เพื่อเป็นรักษาสมดุลแห่งขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติซึ่งเป็นผู้รับข้อพิจารณาและคำแนะนำ ซึ่งผู้เขียนเองเคยได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ ๆ เกี่ยวกับเทคนิคในการรักษาขวัญและกำลังใจของคนที่อยู่ในความดูแล ว่า หากจำเป็นต้องตำหนิหรือเสนอแนะข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกที่ไม่ดี ควรพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวโดยให้มีผู้อื่นร่วมรับรู้น้อยที่สุดหรือไม่มีบุคคลที่สามรับรู้ด้วยเลยได้ยิ่งดี แต่ในทางตรงข้าม หากจะชมหรือกล่าวถึงข้อดีในการปฏิบัติของใครก็ตาม ให้พยายามเผยแพร่สิ่งเหล่านั้นออกไปในวงกว้างให้มากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นการเผยแพร่แบบอย่างที่ดี อันเป็นรูปแบบการสอนหรือแนะนำอีกทางหนึ่งแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ที่ได้รับการยกย่องนั้น รวมถึงเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจสำหรับคนอื่น ๆ ด้วยแนวคิดทั้งห้าประการที่นำเสนอในบทความนี้ ด้วยมุ่งหมายจะให้เป็นแง่คิดและแนวทางสำหรับผู้ที่เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน จนได้ก้าวมาอยู่ในสถานะหรือตำแหน่งที่ต้องเป็นผู้นำ ที่มีหน้าที่ประการหนึ่งคือต้องพิจารณา แนะนำ สั่งงานการทำงานแก่ผู้อื่นได้ และแนวคิดนี้อาจนำไปปรับใช้ในหลาย ๆ สถานการณ์ แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ เช่น การสอนการบ้านแก่เด็ก ๆ สมาชิกในครอบครัว เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเนื้อหาที่ถ่ายทอดผ่านบทความนี้คงจะไม่ใช่เรื่องที่หาอ่านได้ทั่วไป (เพราะคงไม่ค่อยมีใครเขียน) และคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านเพราะตราบใดที่แต่ละหน่วยงานยังมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้า การพัฒนางานยังเป็นสิ่งจำเป็น ผู้ตรวจ พิจารณา แนะนำสั่งงานคือฟันเฟืองสำคัญ จึงต้องมีวิถีทางการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานและองค์กร อันจะส่งผลย้อนมาถึงสมาชิกที่จะได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนภาพปกบทความ โดย StartupStockPhotos จาก Pixabay