เหตุที่เราต้องรู้ว่าควรใช้แบตแบบไหน ก่อนจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ก็เป็นเพราะว่า แบตเตอรี่รถยนต์นั้นถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของระบบไฟฟ้าภายในเครื่องยนต์ ทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บประจุไฟฟ้าที่จะถูกนำไปใช้ในการสตาร์ทเครื่อง ปรับอุณหภูมิภายในรถ จ่ายไฟให้กับแผงหน้าปัดและไฟหน้า นอกจากนี้ยังรวมไปถึงระบบกันขโมย และส่วนอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าเลือกขนาดผิด หรือเลือกไม่เข้ากับประเภทการใช้งานแล้วละก็ นั่นก็อาจทำให้อายุการใช้งานของแบตลดลงได้!!!การทำงานของแบตเตอรี่รถยนต์ การทำงานของแบตนั้นจะทำงานควบคู่ไปกับ ‘ไดชาร์จ’ ที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้า โดยไดชาร์จจะทำงานหลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้วเท่านั้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการสตาร์ทรถในช่วงแรกนั้น จำเป็นต้องใช้พลังงานจากแบตล้วน ๆ และเมื่อเครื่องยนต์ทำงาน ไดชาร์จจึงค่อยทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าเพื่อให้ระบบส่วนต่าง ๆ ทำงาน และนำกระแสไฟฟ้าที่เหลือกลับไปที่ตัวแบตซึ่งถ้าเราเลือกแบตที่มีแอมป์น้อยกว่าการใช้งานจริง เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องละก็ เราจะได้เจอเข้ากับอาการแบตเตอรี่เสื่อมแน่ ๆ ทีนี้ละ ยังไม่ทันครบกำหนดก็ต้องไปเปลี่ยนใหม่เสียแล้วชนิดของแบตเตอรี่รถยนต์ เอาละ เมื่อเข้าใจการทำงานและความสำคัญของการเลือกแบตเตอรี่มากขึ้นแล้ว ถ้างั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าในปัจจุบันนี้นั้นมีแบตแบบไหนกันบ้างแบบน้ำ นี่คือแบตเแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้น้ำกรดในการช่วยทำงานข้อดี : ถูก เหมาะกับรถที่เดินทางบ่อยข้อเสีย : ต้องคอยเช็คแบตเตอรี่รถยนต์ และหมั่นเติมน้ำกรดเดือนละครั้งแบบแห้ง แบตชนิดที่ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกรด สะดวก ประหยัดเวลาข้อดี : ไม่ต้องเสียเวลาเช็คแบต อายุการใช้งานยาวนานข้อเสีย : ราคาแพงแบบกึ่งแห้ง แบบกึ่งแห้งจะช่วยประหยัดเวลาไปได้บ้าง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าแบบน้ำ แต่สั้นกว่าแบบแห้งข้อดี : ราคาถือว่าถูกกว่าแบบแห้ง และไม่ต้องดูแลถี่เท่าแบบน้ำ เช็คซักครึ่งปีครั้งพอข้อเสีย: ยังไงก็ยังต้องคอยมาเติมน้ำอยู่ดีก่อนจะซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ ต้องอย่าลืมดูที่แอมป์ รถยนต์แต่ละรุ่นจะมาพร้อมกับกำลังแอมป์สำหรับการสตาร์ทที่แตกต่างกันไป โดยเราสามารถดูปริมาณแอมป์ได้จากแบตอันเก่า หรือในคู่มือว่ารถของเราใช้ปริมาณเท่าไหร่ และไม่ควรซื้อแอมป์กำลังสูงกว่าเพราะเปลืองโดยใช่เหตุลักษณะการใช้งานแบบไหน ควรใช้แบตเตอรี่แบบใด?ชอบเดินทาง หรือทำงานที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ : ถ้าเป็นแบบนี้แนะนำให้ใช้แบบน้ำไม่ค่อยรู้เรื่องรถ ไม่ถนัดเรื่องเครื่องยนต์ : ใช้แบบแห้งสะดวกสุด ไม่ต้องมายุ่งยากแต่งรถเพิ่มเติม ติดไฟ เพิ่มลำโพง : การแต่งรถจะทำให้รถกินไฟเพิ่มมากขึ้น เพราะงั้นควรใช้แบบน้ำดีที่สุดสรุป โดยเฉลี่ยนแล้วอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์แบบน้ำนั้นจะอยู่ระหว่าง 2.5 - 3 ปี ส่วนแบบแห้งจะอยู่ระหว่าง 5 -10 ปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะการเดินทางด้วยเช่นกัน ถ้ารถเริ่มมีอาการสตาร์ทไม่ค่อยติด หรือไฟหน้ารถดูสว่างน้อยลงกว่าปกติแล้วละก็ นั่นก็อาจได้เวลาแล้วก็ได้ ที่คุณต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่อันใหม่!ภาพหน้าปก โดย : pexels.comภาพประกอบที่ 1 โดย : pexels.comภาพประกอบที่ 2 โดย : pexels.comภาพประกอบที่ 3 โดย : pexels.com