(ภาพปกโดยผู้เขียน) เชียงใหม่ ถือได้ว่าเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออยู่มากมาย เป็น อีกที่ที่นักท่องเที่ยวต้องกลับไปเยือนกันอีกหลาย ๆ ครั้งเป็นแน่ เพื่อที่จะมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับที่เที่ยวยอดนิยมต่าง ๆ นั้นได้ครบทุกที่ ซึ่งคงต้องใช้เวลาถึงหลายทริปเลยทีเดียวถึงจะได้ไปจนครบทุกที่ตามที่เราต้อง การ เพราะการเดินทางในแต่ละทริปนั้น นักท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่แล้ว จะใช้เวลาแค่เพียง 3 คืน 4 วันเท่านั้นเป็นอย่างมาก (ภาพโดยผู้เขียน) อย่างครอบครัวของผู้เขียนเองก็เช่นกัน ที่ใช้เวลาในแต่ละทริปนั้นมากสุดก็แค่ 3 คืน 4 วันเท่านั้นจริง ๆ จึงทำให้ครอบครัวของผู้เขียนต้องกลับไปเยือนที่ จ.เชียงใหม่อีกครั้งซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เราต่างก็ลงมติกันว่าจะไปกันที่ จ.เชียงใหม่เพื่อไปสัมผัสกับบรรยากาศในสถานที่ท่องเที่ยว ที่ขึ้นชื่อถึง 3 แห่ง ซึ่งสถานแห่งแรกที่เราจะไปค้างคืนกันนั้นคือที่ ไร่องุ่นอีเดน ที่ตั้งอยู่ใน อ.แม่ริม ระหว่างทางขึ้นไปที่ม่อนแจ่มจะ ผ่านสวนพฤกษศาสตร์สิริกิติ์ ขับไปเรื่อย ๆ ก็ให้สังเกตุที่ขวามือ ก่อนถึงวัดกลางก็จะมีป้ายบอกว่า โครงการหลวงหนองหอย เข้า ไปเรื่อย ๆ อีก 6.5 เมตร ก็จะถึงไร่องุ่น ซึ่งเป็นองุ่นที่ไร้เมล็ด ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมและถ่ายรูปกับผลองุ่นพวงโต ยังให้เราสามารถเข้าไปเลือกตัดจากต้นแล้วมาชั่งกิโลด้านนอกได้อีกด้วย อากาศของที่นี่จะหนาวเย็นตลอดทั้งปี อุณหภูมิก็ประมาณ 17-18 องศา มีเต๊นท์และบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยวอยู่หลายหลัง(ภาพโดยผู้เขียน) ส่วนคืนที่ 2 เราก็ไปพักค้างคืนกันที่ หน่วยจัดการต้นน้ำแม่เผอะ ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติลุ่มน้ำฝาง ตั้งอยู่ที่ ต.แม่งอน อ.ฝาง อยู่เลยไปทางเข้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขางประมาณ 500 เมตร มีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยวอยู่หลายหลังด้วยกัน อากาศของที่นี่ก็จะหนาวเย็นตลอดปี ซึ่งในช่วงที่เราไปถึงนั้นก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงกว่าเข้าไปแล้ว แต่อากาศก็ยังคงหนาวเย็นอยู่ อุณหภูมิก็จะอยู่ที่ประมาณ 15-16 องศา(ภาพโดยผู้เขียน) หลังจากที่ขนเสบียงและกระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บไว้ในบ้านพักเรียบร้อยแล้ว จึงออกไปเที่ยวกันที่ ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล ที่จะอยู่เลยสถานีเกษตรหลวงอ่างขางไปในทางทิศเหนืออีกประมาณ 4.5 กิโลเมตร จะเลยหมู่บ้านขอบด้งไป เป็นที่อยู่ของพวกชนเผ่าปะหล่อง ที่ตั้งอยู่สุดเขตประเทศไทย ชาย แดนไทยพม่า ซึ่งถ้าได้มองไปยังฝั่งพม่าเราก็จะเห็นฐานที่ตั้งของพม่า ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 1 กิโลเมตรนั้นได้อย่างชัดเจน เราใช้เวลาในการเดินเที่ยวชมอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า จึงได้กลับไปยังที่พักพร้อมกับผักและผลไม้หลายอย่าง ที่ได้ซื้อติดไม้ติดมือกัน ไปพอสมควร(ภาพโดยผู้เขียน) และเช้ามาเราก็รีบออกเดินทางกันแต่เช้าเพื่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดท้ายของทริปนี้ ระหว่างทางเราก็แวะเที่ยวชมสวนส้ม ไร่ชไมพรอ่างขาง เป็นสวนส้มที่ปลูกอยู่ข้างทางหลายร้อยต้น ซึ่งเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งที่ใครได้ผ่านไปผ่านมาเป็นต้องจอดแวะเข้าชมและถ่ายรูปด้วยกันทั้งนั้น แล้วค่อยซื้อกลับไปกันคนละกล่องสองกล่อง จากนั้นเราก็มุ่งหน้ากันไปยัง อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ซึ่งเป็นที่พักค้างคืนสุดท้ายของพวกเราในการเดินทางทริปนี้ ที่ตั้งอยู่ที่ ต.โป่งน้ำร้อน อ.ฝาง การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) ถึงตัวเมืองฝางตรงไปเรื่อย ๆ จนพบสามแยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายไป 9 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกชัดเจนตลอดทาง เป็นถนนลาด ยางไปจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกที่มีความสูงถึง 2285 จากระดับน้ำ ทะเล(ภาพโดยผู้เขียน) ที่ ๆ เราได้เข้าพักนั้นเป็นบ้านหลังใหญ่ ซึ่งก็อยู่ห่างกันไม่มากนักกับ เรือนประทับแรม ที่อยู่ในโครงการบ้านบ้านเล็กในป่าใหญ่ ที่มีบริเวณโดยรอบเป็นลานสนามหญ้าอันกว้างขวาง ถัดจากบ้านพักไปเล็กน้อยก็จะเป็นที่ให้พักสำหรับผู้ที่มาเป็นหมู่คณะ เพื่อจัดประชุมสัมนา ส่วนอีกฝั่งตรงข้ามกับบ้านพัก ก็จะมีเต๊นท์ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว อากาศของที่นี่ก็จะหนาวเย็นตลอดทั้งปี ซึ่งในคืนที่เราได้พักค้างคืนกันนั้น ก็มีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 10-12 องศา และในช่วงเช้าที่ตื่นมาอุณหภูมิก็ลดลงอยู่ที่ประมาณ 9-10 องศา บวกกับลมที่พัดแรงมาก ทำให้ครอบ ครัวเราที่ได้ออกมาสัมผัสกับบรรยากาศในยามเช้า ถึงกับสั่นสะท้านกันเลยทีเดียว (ภาพโดยผู้เขียน) พอเวลาช่วงสายหน่อย ทางเจ้าหน้าที่ก็พาพวกเราไปเที่ยวชมยังเรือนประทับแรม ที่มีด้วยกันถึง 3 ชั้น แต่น่าเสียดายนักที่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ เราจึงทำได้เพียงเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ที่สุดแสนประทับใจนี้ไว้เท่านั้น ก่อนจะโบกมือลากับเจ้าหน้าที่แล้วมุ่งตรงกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอมใจกับทริปการเดินทางในครั้งนี้เป็นอย่างมาก และเราต่างก็มีความคิดเห็นทีตรงกันว่า สถานที่ที่เราจะไปในครั้งหน้า นั้นคงหนีไม่พ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่เราต้อง ได้ไปเป็นครั้งที่ 4 อีกแน่นอน