“มีทริปไปลาวใต้ ไปด้วยกันมั้ย” ไม่ว่างก็ต้องว่างแล้วล่ะแกร๊... สองสัปดาห์หลังจากนั้น พวกเรามายืนอยู่หน้าด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี พอด่านเปิดตอนแปดโมงเช้า เรารีบทำเรื่องขอผ่านแดน แล้วจัดแจงแลกเงินกีบ เตรียมพร้อมสำหรับปากท้องและการเดินทางในประเทศลาว หลังจากข้ามพรมแดนมาถึงฝั่งลาว เพื่อนผองในคณะรีบควักโทรศัพท์มาออกมาส่งเสียงตามสายบอกคนอีกฝั่ง แต่ฉันปิดมือถือตั้งแต่ขึ้นรถเมื่อคืนแล้วล่ะ คณะของเรามุ่งหน้าสู่เมืองปากเซ เมืองหลวงของแขวงจำปาสัก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของลาว บรรยากาศในเมืองปากเซค่อนข้างคึกคัก มีคิวรถสองแถววิ่งต่อไปยังเมืองรอบ ๆ เมื่อเข้าใกล้ตลาดผู้คนยิ่งเดินกันขวักไขว่ แต่ยังไม่ทันได้รู้จักปากเซ เราก็ต้องผ่านปากเซไปยังเมืองจำปาสัก ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของแขวงจำปาสัก เพื่อไปพิสูจน์ความลึกลับของปราสาทวัดพู ที่ร่ำลือกันว่าสวยขนาดได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก ปราสาทวัดพู บนภูศิวลึงค์ จากปากเซ ขึ้นแพขนานยนต์ข้ามน้ำโขง เราก็จะถึงตัวเมืองจำปาสัก เมื่อมองจากระยะไกล ภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทขอมเก่าแก่แห่งนี้มีลักษณะคล้ายศิวลึงค์ ฉันมองภูเขาเบื้องหน้าอย่างเขิน ๆ ไม่แน่ใจว่าเขินเรื่องรูปร่างของภูเขา หรือเขินคนข้าง ๆ ที่กำลังอมยิ้มกับกุศโลบายของคนโบราณ เราเริ่มจากเดินชมห้องแสดงศิลปะวัตถุที่ขุดได้จากบริเวณปราสาทวัดพู เราสองคนสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ศิลป์อยู่แล้ว จึงคุยกันเรื่องศิลปวัตถุในยุคต่าง ๆ เสียนาน ฉันได้ความรู้ใหม่ ๆ เยอะเลย ทีอาจารย์สอนทำไมจำไม่แม่นขนาดนี้นะ... หลังจากนั่งล้อมวงทานข้าวเหนียวไก่ทอดที่หน้าทางเข้าปราสาท เราก็พร้อมเดินไต่บันไดขึ้นไปชมความงามด้านบนแล้ว ระหว่างทางเราผ่านบารายซึ่งเป็นแหล่งน้ำคู่ศาสนสถานขอมโบราณ ขึ้นไปอีกหน่อยก็เจอปราสาท 2 หลัง แม้กาลเวลาที่ล่วงไปกว่าพันปีจะทำให้ปราสาทที่ตระหง่านตรงหน้าดูทรุดโทรมและมีซากปรักหักพังล่วงหล่นมากองระเกะระกะโดยรอบ แต่ความอลังการของศิลปะขอมโบราณก็ยังคงดูขลังและมีเสน่ห์ จากนั้นเราเดินต่อขึ้นสู่ปราสาทปรางค์ประธาน ผ่านซุ้มต้นลีลาวดี หรือที่ชาวลาวเรียก ต้นจำปา ช่วงทางขึ้นตรงนี้เป็นบันไดสูงชัน ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่เขาจะรู้ไหมว่ามือที่คอยประคองฉันในตอนนี้ ทำให้ฉันต้องระมัดระวังใจมากกว่ากลัวตกบันไดเสียอีก ไม่เกินแรงข้าวเหนียว พวกเราก็มาถึงปราสาทปรางค์ประธาน ที่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปตามคติพุทธเถรวาท เมื่อพันกว่าปีก่อน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด ที่ใจกลางปราสาทเคยประดิษฐานศิวลึงค์ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์พระศิวะ แต่เมื่ออิทธิพลขอมเสื่อมไป ปราสาทแห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนเป็นวัดในพุทธศาสนา และองค์ศิวลึงค์ก็ถูกแทนที่ด้วยพระพุทธรูปอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน หลงเสน่ห์ สี่พันดอน ลงจากปราสาทวัดพู เราเดินทางต่อไปยังบ้านนากะสัง เพื่อลงเรือหางยาว มุ่งหน้าสู่เกาะดอนคอน เกาะขนาดใหญ่กลางลำน้ำโขงช่วงที่กว้างกว่าสิบกิโลเมตร และเต็มไปด้วยเกาะแก่งมากมายจนได้ชื่อว่า มหานที สี่พันดอน ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราก็มาขึ้นฝั่งที่ดอนคอน เกาะกลางลำน้ำโขงแห่งนี้กว้างใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้ ตัวเกาะมีขนาดกว้าง 4.5 กิโลเมตร และยาวเกือบ 5 กิโลเมตร เดินงง ๆ หาที่พักกันสักครู่ เราก็ได้ที่พักเป็นกระท่อมไซส์จิ๋วริมน้ำโขง ภายในห้องกว้างพอสำหรับวางเตียงนอนเท่านั้น ใครจะว่าไม่น่าอยู่ แต่ฉันกลับชอบบริเวณหน้าห้องที่มีระเบียงชมวิวริมน้ำ แถมมีเปลผูกไว้ให้ไกวเล่นพอสำราญใจ ความสุขของฉันในคืนนี้จึงเรียบง่าย แค่หย่อนก้นลงเปล อ่านหนังสือที่เตรียมมา และเหลือบมองคนที่นอนเล่นอยู่ในเปลข้าง ๆ สำหรับการแอบชอบที่ยังไม่กล้าพอจะบอกให้เขารู้ เท่านี้ก็ฟินสุด ๆ แล้ว หลี่ผี แก่งใหญ่กลางลำโขง รุ่งเช้าวันใหม่ต้อนรับเราด้วยหยาดฝนพอชุ่มฉ่ำ ทุกคนออกจากห้องพักพร้อมเสื้อกันฝนหลากสีสัน เหลือแต่ฉันที่มีเพียงผ้าคลุมผืนบางคลุมศีรษะ เราเตรียมตัวออกเดินเท้าเพื่อไปชมน้ำตกหลี่ผี ที่เกิดจากแก่งขนาดยักษ์กลางแม่น้ำโขง ขณะทุกคนกำลังสรุปเรื่องเส้นทางสู่หลี่ผี ฉันก็ได้เสื้อกันฝนสีเหลืองมาห่มอย่างไม่ได้ตั้งใจ และผ้าสีขาวผืนบางของฉันก็ย้ายไปคลุมศีรษะเขาแทน ยิ่งเข้าใกล้น้ำตก เสียงสายน้ำก็ยิ่งดังกึกก้องขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานเพื่อนที่เดินนำหน้าก็ส่งเสียงดังโหวกเหวก ภาพน้ำตกเบื้องหน้าคงสวยงามจนทำเอาหลายคนรู้สึกทึ่ง และไม่กี่อึดใจต่อมา หลี่ผีก็ทำให้ฉันหลงใหลไม่แพ้กัน ทุกคนส่งเสียงดังแข่งกับสายน้ำ ก่อนจะเงียบลงเพราะเคลิ้มกับความยิ่งใหญ่แบบเกินความคาดหมายของธรรมชาติกลางแม่น้ำโขง ฝนหยุดตกแล้ว เสื้อกันฝนหลากสีที่เห็นตั้งแต่เช้าถูกเก็บลงกระเป๋า เหลือเพียงสีขาวและสีเหลืองที่เจ้าของยังไม่อยากเก็บ หมอกบางบนปากซอง แผนแรกที่จะกลับไปหาที่พักในตัวเมืองปากเซเป็นอันต้องยกเลิกกะทันหัน เมื่อมีคำแนะนำจากชาวลาวเจ้าของพื้นที่ให้ลองไปเยือนเมืองปากซอง ดินแดนกลางที่ราบสูงโบโลเวน 1,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เมืองที่เงียบสงบและมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ภาพแรกที่เราเห็น ปากซองดูอึมครึม เพราะถูกปกคลุมด้วยสายหมอกบาง ๆ รถของเราแล่นผ่านตลาด โรงเรียน สถานีตำรวจ ทุกอย่างรอบตัวดูเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ ฉันสังเกตเห็นดอกลำโพงสีหวานขึ้นเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน ดูเป็นเมืองในจินตนาการมากกว่าจะมีอยู่จริง หลังจากปลื้มใจกับการเปลี่ยนแผนการเดินทาง จนได้มาเจอเมืองในหมอกแห่งนี้แล้ว เราก็ตระเวนหาที่พักซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่งในเมือง โชคดีที่มีเกสต์เฮ้าส์เพิ่งเปิดใหม่ว่างอยู่หลายห้อง เราจึงแยกย้ายกันเก็บสัมภาระ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อรับประทานอาหารมื้อเย็น จากที่คิดว่าจะหาร้านก๋วยเตี๋ยวริมทางประทังท้อง เรากลับได้เจอร้านหมูกระทะที่กำลังส่งควันขาวสู้กับสายหมอก และไม่ทันไร เจ้าบ้านก็ต้อนรับเราด้วยบทเพลงของ ฟิลม์ รัฐภูมิ ต่อด้วยอัสนี-วสันต์ เบิร์ด ธงไชย และอีกหลายคน ฟังเพลินจนลืมไปว่ากำลังอยู่ในอีกประเทศ อิ่มกลับมาที่พัก หลายคนแยกย้ายเข้าห้องนอนหลบลมหนาว แต่ฉันหลบออกจากห้องมานั่งริมระเบียงไม้เพื่อเขียนบันทึก และในใจก็แอบหวังว่าจะได้เจอเขาก่อนเข้านอน เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายในสาวใต้ของพวกเราแล้ว อุณหภูมิยามค่ำคืนลดต่ำลงกว่าแรกมาเยือนมาก ฉันไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาเพราะไม่คิดว่าจะได้มาเจออากาศหนาวแบบนี้ ผ้าคลุมสีขาวที่มีก็ยังไม่ได้กลับมา อากาศหนาว ๆ แบบนี้ทำให้คิดถึงเรื่องที่มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า ถ้าอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง ไม่ควรพูดว่า “หนาว” ให้เลี่ยงไปใช้คำว่า “เย็น” แทน เพราะคำว่า “หนาว” จะทำให้ผู้ชายรู้สึกอยากกอดเพื่อให้ความอบอุ่น จำได้ว่าฉันเถียงเพื่อนคนนั้นว่าไม่เห็นเกี่ยวกันตรงไหน เขียนบันทึกไม่ทันจบหน้า ฉันก็รู้สึกว่ามีคนเดินมานั่งข้าง ๆ เขาไม่ได้มานั่งเขียนบันทึก แต่มานั่งอ่านบันทึกการเดินทางในลาวใต้ของนักเขียนคนอื่น เราคุยกันบ้างเรื่องความเงียบสงบและสวยงามของปากซอง โดยเฉพาะดินฟ้าอากาศที่ดูจะแตกต่างจากเมืองที่เราผ่านมาค่อนข้างมาก หลังจากต่างคนต่างเงียบ เหมือนกำลังใช้สมาธิจดจ่อกับบางอย่างอยู่ ฉันก็เผลอพูดออกไปว่า “หนาวจังเนอะ...” เครดิตภาพ โดยผู้เขียนเอง