ใครจะเชื่อว่าการเดินทางย้อนเวลาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่การเดินทางในวันนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนกับได้เดินทางย้อนเวลากลับไปราวๆ 250 ปีที่แล้ว การเดินทางเริ่มต้นด้วยการขึ้นรถไฟฟ้าจากใจกลางเมืองหลวง ขบวนรถไฟฟ้าที่เปรียบเสมือนงูยักษ์ขนาดใหญ่ได้พาลัดเลาะตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ จากเส้นทางลอยฟ้าที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ของมหานคร ต่อด้วยเส้นทางใต้ดินที่ต้องใช้จินตนาการส่วนตัวเอาว่า ณ ตอนนี้ตัวเราอยู่ใต้ส่วนไหนของเมืองหลวงแห่งนี้ ในที่สุดการเดินทางในขั้นต้นก็จบลงที่ สถานีรถไฟใต้ดินสนามไชย ออกจากขบวนรถไฟใต้ดิน เข้าสู่ตัวสถานีก็ได้สัมผัสกับความวิจิตรของการตกแต่งสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้ด้วยสไตล์แบบสถาปัตยกรรมไทย ให้เหมาะกับบรรยากาศของสถานที่ด้านบนซึ่งเรากำลังจะได้ขึ้นไปพบ ไม่แน่ใจนักว่าสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้จะเป็นสถานีที่สวยที่สุดในโลกหรือไม่ แต่การตกแต่งลวดลายไทยลงบนเสา ผนัง และเพดานของสถานีแห่งนี้ ก็สามารถสะกดคุณให้ต้องหยุดชื่นชมในความงามของสถานีได้ราวมีเวทย์มนต์ ล้วงมือลงกระเป๋าโดยอัตโนมัติอย่างไม่ทันรู้ตัว หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพความสวยงานตรงหน้า เพื่อบันทึกไว้เป็นความทรงจำในคราวที่จะได้เปิดรูปดูในภายหลัง เช่นเดียวกับผู้โดยสารอีกหลายๆคน ที่เดินหามุมเหมาะสำหรับตัวเองในการถ่ายภาพเก็บความทรงจำไว้ นักท่องเที่ยวต่างชาติดูจะตื่นตาตื่นใจในความวิจิตรของสถานที่อยู่มากพอสมควร ส่งเสียงชื่นชม วิจารณ์กันอื้ออึง แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ดีนัก ด้วยภาษาที่เปล่งออกมากนั้น แปลกแตกต่างจากพื้นฐานข้อมูลที่อยู่ในสมองพอสมควรจึงไม่อาจตีความสิ่งที่เขาเหล่านั้นพูดกัน ใครที่มาคนเดียว บ้างก็เซลฟี่ถ่ายรูปตัวเอง บ้างก็ขอร้องให้เพื่อนนักเดินทางที่อยู่ใกล้เคียงช่วยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกให้ เป็นอีกหนึ่งความสวยงามที่ได้พบเห็นทั่วไปในประเทศไทย เดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินขึ้นมาด้านบน เดินต่อไปยัง ท่าเตียน เพื่อมุ่งหน้าไปท่าเรือข้ามฝากข้ามไปยังวัดอรุณราชวราราม ระหว่างเส้นทางได้เห็นชาวไทย ชาวต่างชาติมากมาก เพลินเพลินกับการเดินจับจ่ายใช้สอย และอิ่มอร่อยกับอาหารตามร้านต่างๆมากมายตลอดเส้นทาง ชุมชนท่าเตียน ซึ่งยังเป็นชุมชนที่มีการอนุรักษ์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมแต่ครั้งโบราณ อาหารที่ยากจะได้พบเห็นทั่วไปในยุคสมัยนี้ ก็มีโอกาสได้พบเห็นอยู่บ้างในบริเวณท่าเตียนแห่งนี้ ผสมผสานกับอาหารจากฝั่งตะวันตก และแผ่นดินใหญ่ได้อย่างลงตัวให้สมกับความเป็นมิตรของพวกเราชาวสยามที่พร้อมให้การต้อนรับพี่น้องจากทั่วโลกให้ได้มาเยี่ยมเยียนดินแดนแห่งรอยยิ้มแห่งนี้ ชาวต่างชาติหลายท่านดูจะชื่นชอบ Street food ของเราๆชาวสยามอยู่ไม่ใช่น้อยเห็นต่อแถวกันคิวยาวเชียว จ่ายเงินคนละ 4 บาทที่ ท่าเรือท่าเตียน ทั้งชาวไทยและต่างชาติก็จะสามารถขึ้นเรือข้ามฝากจากท่าเตียนไปยัง วัดอรุณราชวราราม แค่ขึ้นเรือทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ก็เริ่มตื่นเต้นกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่น้อย พระปรางค์วัดอรุณฯดูสวยเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีฉากหน้าเป็นเรือใหญ่น้อยสัญจรผ่านไปมาช่างเป็นภาพที่สวยงามยิ่ง โทรศัพท์มือถือ และกล้องถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวต่างๆถูกหยิบขึ้นมาใช้งานโดยพร้อมเพรียงกัน ใช้เวลาไม่นานนัก เรือก็พาทุกคนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาให้มาดูความวิจิตรสาวยงามขององค์พระปรางค์อย่างใกล้ชิด มีผู้คนมากมายใน วัดอรุณราชวรราม วันนี้ แต่ละคนก็ทำกิจกรรมต่างๆในวัดตามอัธยาศัย ชาวไทยต่างก็เข้าสักการะ ขอพร ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็เดินจับจ่ายซื้อของ ถ่ายรูปตามมุมต่างๆของวัด ชาวต่างชาติหลายรายเช่าชุดไทยเพื่อสวมใส่ให้เหมาะสมกับการถ่ายรูปคู่กับสถานที่ที่สวยงามราวสวรรค์สร้างแห่งนี้ บ้างก็ยืนหลบร้อนดื่มน้ำเย็นๆอยู่ใต้ร่มไม้ แต่ทุกคนต่างมีสีหน้าแห่งความสุข จากวัดอรุณราชวราราม เดินต่อไปยัง พระราชวังเดิม สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี (ปกติจะเปิดให้เข้าชมฟรี ปีละหนึ่งช่วงเวลา ราวๆเดือนธันวาคม) พระราชวังเดิม ปัจจุบันอยู่ในเขตการดูแลของกองทัพเรือมีพื้นที่อยู่ระหว่าง วัดอรุณราชวราราม และ วัดโมลีโลกยาราม ซึ่งเคยเป็นวัดที่อยู่ในเขตพื้นที่พระราชฐานแห่งนี้ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนจะถูกแบ่งแยกเขตวัดทั้งสองออกจากเขตพระราชฐานในช่วงต้นยุครัตนโกสินทร์ นอกจากนี้พระราชวังเดิมหลังนี้ยังอยู่ติดกับ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ป้อมปืนที่ถูกสร้างตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยหลวงวิไชยเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน ข้าหลวงฝรั่งผู้มีชื่อและเป็นที่รู้จักของผู้คนจากละครโทรทัศน์อันโด่งดังเมือปีก่อน สมัยกรุงธนบุรี พระราชวังเดิมแห่งนี้ พระบามสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ใช้เป็นที่ประทับ ที่เสด็จออกว่าราชการ ต่างๆตลอดรัชสมัย น่าเสียดายที่อาคารเดิมต่างๆตั้งแต่สมัยก่อตั้งกรุงธนบุรี ได้ชำรุดทรุดโทรม และถูกบูรณะสร้างใหม่ในยุครัตนโกสินทร์ไปเสียส่วนใหญ่แล้ว แต่ท้องพระโรงเดิม ยังคงถูกรักษาด้วยอาคารเดิมตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่เสด็จออกว่าราชการตลอดสมัยกรุงธนบุรี เข้าไปในตัวอาคาร จะพบว่าตัวคารท้องพระโรงนั้น ได้ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย แต่ก็แฝงไปด้วยความงดงามและยิ่งใหญ่ อาจเป็นเพราะถูกสร้างหลังจากการเสียกรุงฯซึ่งบ้านเมืองอยู่ในช่วงสร้างตัวใหม่ งบประมาณก่อสร้างจึงอาจมีจำกัด หรือถูกเก็บไว้ใช้ในเรืองอื่นที่มีความจำเป็นกว่าในการทำนุบำรุงรักษาบ้านเมืองในสมัยนั้น นอกจากอาคารท้องพระโรงที่สร้างตั้งแต่กรุงธนบุรีแล้ว ก็ยังมีอาคารโบราณอีกหลายหลังที่ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และยังคงถูกบูรณะรักษาสภาพไว้จนปัจจุบัน อาทิเช่น อาคารตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่, อาคารเก๋งคู่หลังเล็ก, อาคารตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว, อาคารเรือนเขียว ซึ่งล้วนเป็นอาคารที่มีความสำคัญในยุคต้นรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้น เนื่องจากพระราชวังเดิมได้ถูกใช้เป็นที่ประทับของเจ้านายหลายพระองค์ รวมถึงยังเป็นที่ประสูติและที่ประทับในวัยเด็กของพระมหากษิตริย์ในราชวงศ์จักรีหลายพระองค์ ภายในอาคารทุกหลัง ได้ถูกจัดแสดงประวัติ และนิทรรศการต่างๆ ถึงเหตุการณ์บ้านเมือง และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 , การกอบกู้เอกราชฯ ตลอดจนการสร้างบ้านเมืองใหม่ การป้องกันรักษาบ้านเมือง และการทำนุบำรุงบ้านเมืองตลอดรัชสมัยของพระองค์ท่าน ทำให้ได้รู้ว่ากว่าที่บ้านเมืองไทยของเรานั้นจะกลับมาเป็นปึกแผ่น จนพัฒนามาสู่ยุครัตนโกสินทร์ และพัฒนาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนั้น บูรพกษัติร์ย์ไทยแต่ละพระองค์จะต้องทรงเสียสละ และบรรพชนในอดีตจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันมาอย่างไรบ้างกว่าที่จะสร้างรากฐานให้ประเทศเป็นปึกแผ่นมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ภายในพระราชวังเดิมยังมีอาคาร ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ให้เราได้เข้าไปบูชาสักการะ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ด้วย ตลอดเส้นทางการเดินทางในครั้งนี้ แม้การเริ่มต้นเดินทางด้วยพาหนะที่ทันสมัย แต่การเดินทางนั้นกลับทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า เราได้เดินทางย้อนกาลเวลาจากปัจจุบัน ไปสู่อดีต เพื่อได้ไปรับรู้ถึง อดีตที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่สะดวกสบายในปัจจุบันนั้น มีเรื่องต่างๆมากมายเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งแม้เราจะได้มีโอกาศรำลึกและศึกษาเรียนรู้อย่างไรนั้น แต่เราก็ไม่อาจกลับไปเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นและผ่านมาแล้วได้ แต่สิ่งที่เราทำกันในวันนี้ ในอีก 50 ปี หรือ 100 ปี ข้างหน้านั้น มันจะกลายเป็นอดีตและรากฐานของอนุชนรุ่นหลังต่อไป ดังนั้นอดีตของพวกเขาเหล่านั้น จะเป็นอดีตที่ยิ่งใหญ่งดงามและทรงคุณค่าเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเราทุกคนจะต้องช่วยกันร่างในวันนี้