หากใครที่เป็นสายท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเพราะอยากมีอิสระในการท่องเที่ยวเหมือนอย่างเรา แนะนำให้อ่านบทความนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นนะคะ เพราะเราได้มีโอกาสไปประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และก่อนไปก็ได้ศึกษาข้อมูลและเส้นทางของสถานที่ที่เราต้องการไป ซึ่งไม่ได้มีความรู้ในส่วนนี้มาก่อน เลยถือว่าเริ่มต้นจากศูนย์เลยจริงๆ โดยในทริปนี้เราจะเน้นสถานที่ท่องเที่ยวดังต่อไปนี้ - โตเกียว ซึ่งจะเน้นไปยังสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ เช่น อาซากุสะ อุเอโนะ ชิบุยะ ตลาดปลาทสึกิจิ เป็นต้น - คาวากุจิโกะ ไปดูภูเขาไฟฟูจิแบบชัดๆ รวมถึงไปแช่ออนเซนให้สบายตัว เนื่องจากที่คาวากุจิมีโรงแรมหรือเรียวกังที่มีบ่อน้ำร้อนออนเซนค่อนข้างเยอะ เริ่มต้นจากสนามบินนาริตะ เมื่อเดินทางมาถึงที่สนามบินนาริตะแล้ว เราเลือกใช้ N'ex ในการเดินทางเข้ามาในโตเกียว เนื่องจากเกิดข้อผิดพลาดเกี่ยวกับแพลนเล็กน้อย เพราะเราตั้งใจจะไปตลาดปลาทสึกิจิในวันเที่ยวที่ 3-4 แต่ปรากฏว่าวันที่เราจะไปนั้น ตลาดปลาทสึกิจิเขามีวันหยุดประจำปีคือวันบรรลุนิติภาวะของญี่ปุ่น เราเลยต้องเปลี่ยนแพลนโดยการเดินทางไปตลาดปลาในวันแรกเลย (เพราะอยากไปมาก) เราเลือก N'ex Tokyo Round Trip เป็นตั๋วที่ซื้อรวมขาไปและขากลับ ราคา 4,000 เยน ซึ่งจะถูกกว่าซื้อเป็นรอบๆ เพราะยังไงเราก็ต้องเดินทางกลับมายังนาริตะอยู่แล้ว (ขอบคุณภาพจาก https://www.jreast.co.jp/e/nex/) ตลาดปลาทสึกิจิ (Fish Market Tsukiji) เมื่อนั่ง N'ex มาถึงโตเกียวแล้วก็จัดการลากกระเป๋าตรงไปขึ้นรถไฟใต้ดินแล้วลงสถานี Tsukiji ทันที ใช้เวลาเดินสัก 10 นาทีในการเข้าโซนตลาดปลาทสึกิจิ (คำเตือน! โปรดอย่าใส่ส้นสูงที่ไม่พอดีขา และถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรเดินเที่ยวโดยการลากกระเป๋าเดินทางแบบเรา เพราะจะลำบากมาก ค่อนข้างเจ็บเท้าและหนักทีเดียวเชียว) แอบเห็นป้ายเหมือนว่าห้ามลากกระเป๋าเดินทางเข้าตลาด แต่เราจำเป็นต้องลากเข้าไปเพื่อเดินหาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋า เดินตรงมาสักพักแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอซอยย่อยที่มีห้องน้ำและตู้ล็อคเกอร์ฝากกระเป๋า (ราคาล็อคเกอร์ในการฝากสัมภาระขึ้นอยู่กับขนาดล็อคเกอร์ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 400-800 เยน) (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ที่นี่จะเป็นแหล่งขายอาหารละลานตาไปหมด เน้นในส่วนของอาหารทะเลต่างๆ แค่เราเดินไปโซนแรกก็เสียเงินทันที เพราะไปเจอก้ามปูอลาสก้าอันใหญ่โต ราคา 5,000 เยน เราจัดมาหนึ่งก้ามโตๆ อากาศหนาวขนาดที่ว่าคนขายลนไฟขาปูจนร้อนได้ที่แล้วแค่เอามาวางที่โต๊ะ ขาปูก็เริ่มเย็นทันที กึ่งเย็นกึ่งอุ่น ยืนทานไปหนาวไป แต่รสชาติอร่อยมาก ราคาแอบสูงแต่คุ้มสำหรับคนชอบปู (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) เดินต่อไปเรื่อยๆ จะเจอร้านขายอาหารทะเลอื่นๆ จำพวกข้าวอุด้งหน้าทะเล หอยนางรม ปลาหมึก ซาชิมิ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่นี่ไม่ได้ขายแต่เพียงอาหารทะเลนะคะ อาหารแห้งหรืออาหารทานเล่นทั่วไปก็มีพร้อมให้เลือกซื้อ เพื่อนเราเลือกกินหอยนางรมตัวโตราคา 400 เยน กินสดๆ โดยคนขายจะแค่เหยาะน้ำจิ้มเล็กน้อยแล้วยื่นให้เรากินเลย เพื่อนการันตีบอกมาว่า หวานและอร่อยมาก (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) เดินทางสู่คาวากุจิโกะ เมื่อเสียเงินและอิ่มท้องกันเรียบร้อยแล้ว เราจะเริ่มเดินทางไปยังคาวากุจิโกะค่ะ จุดประสงค์ของเราจริงๆ คือการไปสวนสนุก Fuji Q Highland เราเลยเลือกหาที่พักสำหรับนอนพักผ่อนวันนี้ก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นค่อยเดินทางไปสวนสนุกแต่เช้าเพื่อให้มีเวลาเล่นเครื่องเล่นเยอะ โดยวิธีการเดินทางคือเราต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Shinjuku แล้วมองหาตึกหรือห้างสรรพสินค้า NEWoMan แล้วขึ้นไปชั้น 4 จัดการซื้อตั๋วที่นั่นให้เรียบร้อย ซึ่งตั๋วที่เราซื้อเป็นตั๋วรถบัสที่เดินทางตรงไปยังสถานีคาวากุจิโกะ ใครกลัวหลงหรือไม่ทราบว่าจะซื้อตรงเคาท์เตอร์ช่องไหน ให้ถามได้เลยค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยยืนให้บริการอยู่แถวนั้น บอกเจ้าหน้าที่ว่าจะเดินทางไป Kawagujiko (คาวากุจิโกะ) เมื่อพร้อมทุกอย่างแล้วก็เตรียมตัวขึ้นรถบัสเดินทางไปยังคาวากุจิได้เลยค่ะ (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. 20 นาที ก็มาถึง Kawagujiko Station เรียบร้อย รีบเดินตรงไปที่ Tourist Information และให้เขาทำการโทรเรียกพนักงานจากโรงแรมมารับเราที่นี่ (เราจองโรงแรมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว) ทนหนาวอยู่ประมาณ 10 นาที ก็มีคนจากโรงแรมขับรถ 5 ประตูมารับตรงจุดรอ โรงแรมที่เราเลือกพักคืนนี้คือ Yumedono Onsen Hotel และขอบอกตรงนี้เลยว่า ประทับใจตั้งแต่วินาทีที่พนักงานขับรถมารับจนถึงวินาทีที่ขับรถมาส่งเราที่สถานีในวันกลับจริงๆ ค่ะ (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) เป็นเรียวกังที่ให้ความรู้สึกที่เป็นญี่ปุ่นมากๆ อาจจะอยู่ลึกสักเล็กน้อย แต่เป็นส่วนตัวมากๆ ค่ะ เราจองห้องแบบมีบ่อน้ำร้อนในตัว ไม่ต้องไปแช่ออนเซนรวมกับใคร ภายในห้องเป็นเสื่อทาทามิ ปูที่นอนแบบฟูกสไตล์ญี่ปุ่นทั่วไป มีฮีตเตอร์ เครื่องฟอกอากาศ อุปกรณ์ทุกอย่างครบถ้วน พร้อมอาหารเช้าที่มีให้เลือกว่าเราอยากได้แบบอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่น หรือตะวันออก นอนพักร่างกายและขาสักพัก เราก็ออกมาเดินหาร้านอาหารเพื่อทานเป็นมื้อเย็น ซึ่งอย่างที่บอกตอนแรกว่าโรงแรมที่เราพักค่อนข้างอยู่ลึก บวกกับขาที่เจ็บเลยเดินไปได้ไม่ค่อยไกลมาก โชคดีที่มีร้านอาหารอยู่โซนหน้าโรงแรมพอดี หน้าร้านจะมีป้ายเน้นย้ำว่า "ที่นี่ไม่มีอาหารสไตล์ญี่ปุ่น" พอเดินเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงนั่งเฝ้าเคาน์เตอร์คนเดียว และบอกย้ำอีกทีว่า ที่นี่ไม่มีอาหารสไตล์ญี่ปุ่นนะ ภายในร้านตกแต่งสไตล์ยุโรปสวยงาม ดูอบอุ่นและน่ารักไปในตัว อาหารไม่ได้มีราคาสูงอย่างที่คิด แต่ค่อนข้างมีเมนูให้เลือกน้อย (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) เราเลือกชุดกุ้งทอด+ชุดน้ำชา เพื่อนเราเลือกขนมปังแครกเกอร์+ชีสและซุปหัวหอม อาหารหน้าตาดีและให้ปริมาณพอดีมื้อ ไม่ถูกไม่แพงเกินไป รสชาติอร่อย และบริการดีทีเดียว เจ้าของร้านจะรอให้เราทานอาหารจานหลักจนใกล้เสร็จแล้วจึงค่อยเสิร์ฟชุดชา ซึ่งเป็นชุดชาที่น่ารักสไตล์ยุโรปจริงๆ ค่ะ มาพร้อมซีกมะนาวและครีมนมให้เติมตามใจชอบ เราแอบไปแจมแครกเกอร์ของเพื่อนเล็กน้อย ชีสให้มา 6 ก้อนย่อยค่อนข้างใหญ่แบบไม่งก กินคู่กับแครกเกอร์ถือว่าอร่อย แต่แอบเลี่ยนถ้ากินไปเรื่อยๆ คิดเงินเบ็ดเสร็จออกมาถือว่าไม่แพงและคุ้มค่าค่ะ (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) เมื่อทำอะไรเสร็จก็จัดการเข้าที่พัก อาบน้ำและแช่บ่อน้ำร้อนให้สบายตัว (อากาศหนาวๆ เจอบ่อน้ำร้อนเข้าไปคือดีเยี่ยม แต่แอบคิดว่าน้ำร้อนเกินไปหรือเปล่านะ กว่าจะก้าวขาลงไปได้ เล่นเอาทำใจนานเลยทีเดียว) เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็เข้านอนพักผ่อนเพื่อเอาแรงไปลุยต่อพรุ่งนี้ และพอตื่นเช้ามา พนักงานก็มารับเราถึงหน้าห้องพักและพาไปยังห้องรับประทานอาหาร ในตอนแรกนั้นเรานึกว่าจะเป็นห้องกว้างแบบทานรวมเหมือนที่เคยเห็นตามในหนังหรือการ์ตูน แต่สำหรับที่นี่เขาจัดเป็นห้องส่วนตัวให้เราเลยค่ะ ตกแต่งสวยมากจริงๆ เดินไปกี่ก้าวก็ประทับใจทุกย่างก้าวเลยทีเดียว สำหรับชุดอาหารที่ทางโรงแรมจัดให้เรานั้นเป็นชุดใหญ่แบบอลังการที่เราไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน มีหลากหลายเมนูให้ทานตามภาพที่เห็นด้านล่างเลยค่ะ (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน)(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) เมื่อทานเสร็จเรียบร้อยพนักงานก็มาตามเราให้ไปขึ้นรถเพื่อจะไปส่งเราที่สถานีคาวากุจิ พนักงานต้อนรับเป็นผู้หญิงที่ยิ้มแย้ม ต้อนรับเราดีจนถึงนาทีที่เราขึ้นรถของโรงแรมเลยทีเดียว ถือเป็นความประทับใจที่สุดอย่างหนึ่งในทริปนี้เลยค่ะ ไม่ผิดหวังที่เลือกโรงแรมนี้เป็นที่พักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งคืน ราคาอาจจะสูงไปสักนิดสำหรับงบของพวกเรา แต่รับประกันในความคุ้มค่าแน่นอนค่ะ ในตอนต่อไปเราจะพาทุกคนไปดูภูเขาฟูจิแบบชัดเจนและสวยงามกันนะคะ เจอกันใหม่ในบทความต่อไปค่ะ (ภาพหัวเรื่องเป็นภาพถ่ายโดยผู้เขียน)