ใครที่ชอบความท้าทาย ความตื่นเต้น และไม่เป็นโรคหัวใจ แนะนำเลยค่ะ ต้องมาเที่ยวประเทศอิสราเอล ป้าเนี่ย เที่ยวไปถ่ายรูปไป หัวใจแทบหลุด.. ตุ๊มต่อม ๆ แต่โชคดีที่ทำพินัยกรรมแล้ว ก็เลยพอทำใจได้ อิอิ ถ้าก้าวข้ามความหวาดกลัวจนมาได้ บอกเลยว่า มันงดงามน่าทึ่งมาก ๆ ทั้งสถาปัตยกรรมโบราณเก่าแก่อายุหลายพันปี ทั้งประวัติความเป็นมา เป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาคริสต์ ศูนย์รวมเทคโนโลยีอันล้ำเลิศ ฯลฯ ตื่นตาตื่นใจมากจริง ๆ อิสราเอล เป็นประเทศที่ร่ำรวยประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณ อย่างน้อยก็ 7,000 ปีขึ้นไป แต่ความเก่าแก่ก็ผสมผสานกลมกลืนกับความทันสมัยได้อย่างน่าทึ่ง บรรยากาศโดยรวม มันคลาสสิคมาก ๆ ค่ะ ปัจจุบันอิสราเอลเป็นประเทศที่ก้าวล้ำในเรื่องของเทคโนโลยีชั้นสูง และมีความเจริญทางด้านการแพทย์ระดับโลก ดังนั้นไม่ต้องกลัวนะคะ ถ้าเกิดไปเจ็บป่วยที่นั่นแล้วจะไม่มีหมอเก่ง ๆ ดูแล ตรงกันข้ามค่ะ ยกเว้นแต่ว่า เมื่อหายป่วยแล้ว อาจจะต้องไปโดดน้ำตาย เมื่อเห็นบิลค่ารักษาพยาบาล อิอิ ข่าวว่าค่ารักษาแพงมาก ก. ไก่ล้านตัว ดังนั้นจึงควรซื้อประกันการเดินทางไว้ด้วย คนไทยที่จะไปประเทศนี้ ต้องขอวีซ่าก่อน ไปขอได้ที่สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ที่อยู่ ชั้นที่ 25 อาคารโอเชียนทาวเวอร์ กรุงเทพ ฯ รายละเอียดการขอวีซ่า ดูได้จากเว็บไซด์ของสถานทูต แต่อย่าลืมนะคะ ทุกครั้งที่เราจะเดินทางออกนอกประเทศ ไม่ว่าไปที่ไหน หนังสือเดินทางของเราจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน เช่น ถ้าเหลือ 5 เดือน 29 วัน จะหมดอายุ แบบนี้ถือว่าไม่ถึงหกเดือน เข้าประเทศเขาไม่ได้ค่ะ แต่ตอนนี้อิสราเอลแทบจะเรียกได้ว่า ปิดประเทศ เพราะการระบาดของโควิด 19 และยังไม่มีกำหนดเปิด ประกาศปิดตั้งแต่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2563 ใครที่อยากไป ต้องคอยตามข่าว และอดใจรอนิดหนึ่ง ป้าไปเที่ยวประเทศนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มันดูเจริญก้าวหน้าขึ้นเยอะ ครั้งที่สอง ก็ยังรู้สึกว่า เที่ยวไม่ครบอยากไปอีก แต่ค่าครองชีพที่นั่นแพงมาก จึงตกลงกับคนที่บ้านว่า คงต้องใช้เวลาเก็บเงินเพื่อที่จะไปเที่ยวอีกครั้งได้ในชาติหน้าค่ะ.. อิอิ สถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ ในกรุงเยรูซาเล็มจะมีหลายแห่งมาก เที่ยวกันเป็นวัน ๆ ก็ชมกันไม่หมด แต่วันนี้จะขอเล่าถึงสถานที่ที่โดดเด่นและเป็นหนึ่งในโบสถ์ยอดนิยมทั้งของนักท่องเที่ยว คนท้องถิ่น และนักแสวงบุญชาวคริสต์จากทั่วโลก คือ The Church of the Holy Sepulchre ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะเชื่อว่า เป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (The Church of the Holy Sepulchre) เป็นโบสถ์เก่าแก่ สร้างมาราวๆ 1,700 ปีแล้ว จะมีชาวคริสต์และนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสายในแต่ละวัน ตั้งอยู่ในเขต Christian Quarter of the Old City of Jerusalem โบสถ์นี้จะเป็นความฝันของผู้นับถือศาสนาคริสต์จากทั่วโลกว่า อยากมาสักการะอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเป็นสถานที่ที่สร้างบนพื้นดินที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ ด้านหน้าของโบสถ์จะมีบริเวณกว้างขวางพอสมควร จึงมักจะมีผู้คนมานั่งพักผ่อนชมบรรยากาศรอบ ๆ หรือมารอเข้าคิวเพื่อไปชมข้างในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ ถ้าในฤดูท่องเที่ยวแล้วล่ะก็ บริเวณนี้จะคราคร่ำไปด้วยฝูงชน แต่วันที่ป้าไปเที่ยวโชคดีที่เจอคนน้อย และบริเวณลานกว้างหน้าโบสถ์นี่เอง จะมีสิ่งยืนยันในความฮอตฮิตของสถานที่แห่งนี้ พอจะมองเห็นกันไหมคะ.. คริ..คริ.. อะไรเอ่ย ? ไม่เข้าพวก อิอิ ไอ้ตัวขาว ๆ กลม ๆ หน้าตาเหมือนหุ่นยนต์นี้เลยค่ะ ที่ยืนยันถึงความเป็นสถานที่ยอดนิยมในกรุงเยรูซาเล็ม ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะมีได้นะ มันคือ... ทะด๊าาาา.. ............... ถังกำจัดระเบิด Bomb Disposal Container !! ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ ถังกำจัดระเบิด ทางการอิสราเอลจะเอามาวางไว้ตามจุดท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งหลาย ที่มักเกิดเหตุร้ายบ่อย ๆ บ่อยแค่ไหน ต้องถามใจไกด์ดู ไกด์ชาวยิวบอกว่าก่อนที่จะมีการสร้างกำแพงเมือง (จีน) กั้นชายแดนกับปาเลสไตน์ จะมีการวางระเบิดในอิสราเอลเฉลี่ยปีละพันกว่าครั้ง .... ห๊ะ... พันกว่าครั้งต่อปี... ก็แปลว่า จะเกิดขึ้นราวๆ สามครั้งต่อวัน โดยประมาณ.... ขนหัวลุก !! กันไหมคะ พี่น้องงงงง... ในปี ค.ศ. 2000 (2543) อิสราเอลเริ่มสร้างกำแพงกั้นชายแดนกับปาเลสไตน์ มาแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2014 (2557) ความยาวของรั้วกำแพงทั้งหมดประมาณ 700 กว่ากิโลเมตร (ป้าตั้งชื่อให้ว่า กำแพงเมืองจีนจูเนียร์) และตั้งแต่นั้นมา การวางระเบิดในอิสราเอลก็ลดน้อยลง ๆ จนแทบไม่มีเลยในปัจจุบัน และในปีที่ป้าไปเที่ยว สถิติการเกิดระเบิดก็เป็นศูนย์ !! แต่อย่างไรก็ดี ถังกำจัดระเบิดก็ยังวางอยู่ที่เดิม เพื่อความอุ่นใจของปวงประชา คนท้องถิ่นก็จะดูสบาย ๆ เหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดากับการมีถังกำจัดระเบิดวางอยู่ใกล้ ๆ ถังอันนี้ ยิ่งดูยิ่งหลงรัก กลม ๆ ป้อม ๆ น่าเอ็นดูเป็นที่สุด.. คริ..คริ.. คือ ไกด์พามาเที่ยวโบสถ์คูหาศักดิ์สิทธิ์ แต่ป้าก็วนเวียนดูแต่ไอ้นี่แหละค่ะ อย่างอื่นไม่อยากจะมอง สนใจแต่สิ่งนี้ จนอยากจะอุ้มกลับมาตั้งไว้ที่หน้าบ้านสักอันจริง ๆ หน้าโบสถ์พระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก็เป็นจุดหนึ่งที่มักจะเกิดเหตุร้ายขึ้นบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระเบิดพลีชีพหรือวางระเบิดธรรมดา บางทีก็มีคนคลุ้มคลั่งเอามีดเอาปืนมาไล่ทำร้ายผู้คนในบริเวณลานหน้าโบสถ์ จนบาดเจ็บล้มตายไปก็หลายคน ดังนั้น นอกจากถังกำจัดระเบิดแล้ว ทางการอิสราเอลก็จัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาประจำการอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน คนอิสราเอลก็ดูเฉย ๆ ใช้ชีวิตกันไปตามปรกติ แต่นักท่องเที่ยวอย่างป้า ใจหล่นลงไปเกือบถึงตาตุ่ม ตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ แต่ดีที่มันค้างอยู่ตรงพุงไม่ยอมไปไหน.. และมันก็ค้างอยู่ตรงพุง จนถึงทุกวันนี้... อาเมน.. ด้านในของโบสถ์จะมีแท่นหินขนาดใหญ่พอที่คนจะนอนได้ เชื่อว่าเป็นแท่นหินที่ใช้วางพระศพของพระเยซู หลังจากนำลงมาจากไม้กางเขน เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว ชาวคริสต์ก็จะมาลูบคลำ บางคนก็ร้องไห้คร่ำครวญ บางคนก็เอาผ้ามาเช็ดที่แท่นหิน เอาไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล มีเรื่องแปลกอีกหนึ่งอย่างของโบสถ์นี้ ก็คือ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 กษัตริย์ชาวยิวในขณะนั้น ได้กำหนดไว้ว่าคนที่รักษากุญแจของโบสถ์นี้ จะต้องเป็นคนมุสลิมเท่านั้น และหน้าที่นี้ก็ได้สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นพันปีแล้ว โดยคนมุสลิมในตระกูล The Nusseibehs ด้านในของโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ อะไรต่อมิอะไรในอิสราเอล ถ้ามีอายุประมาณพันปี จะถือว่ายังไม่เก่าเท่าไร ถ้าพอเรียกว่าโบราณได้ จะต้องมีอายุราว ๆ ห้าพันปีขึ้นไป หินทุกก้อนในประเทศนี้ มีเรื่องราวมากมาย ถ้าคนชอบโบราณคดี ไปเที่ยวประเทศนี้คงมีสลบด้วยความดีใจ เดี๋ยวจะหาเรื่องแปลก ๆ ในอิสราเอลมาโม้ให้ฟังต่อนะคะ ยังมีอีกเยอะเลย วันนี้ป้าฟู สวัสดีค่ะ รูปภาพทั้งหมดโดยป้าฟู