บางครั้งเสน่ห์ของเกมฟุตบอลก็ขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอน เพราะมันแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ได้ดีมากกว่าสิ่งอื่น แทคติคต่าง ๆ เทนนิคการเล่น การวางแผนเกม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกมฟุตบอลกลายเป็นกีฬาอันดับ 1 ของโลกในเวลานี้ และยังรวมไปถึงการตบตากรรมการ ความผิดพลาดของการตัดสิน ก็นับว่าเป็นเสน่ห์ของฟุตบอลได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ในความได้เปรียบไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็จะมีความเสียเปรียบที่เป็นด้านตรงข้ามอยู่เสมอ และเกมฟุตบอลในสมัยนี้ก็มีมูลค่าในแต่ละนัดที่สูงมาก มีเดิมพันในชัยชนะที่สูงมาก การตัดสินอย่างเที่ยงตรง ยุติธรรมก็ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็น ขอบคุณภาพประกอบ SounderBruce สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0 การตัดสินด้วยวิดีโอรีเพลย์ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะกีฬาอย่างเทนนิส อเมริกันฟุตบอล แบดมินตัน ฮอกกี้น้ำแข็ง หรือแม้แต่รักบี้ ก็ใช้กันมาก่อนหน้านี้นานแล้ว การนำเทคโนโลโย VAR หรือ Video Assistant Referee มาใช้ในเกมฟุตบอล เพื่อเข้ามาช่วยผู้ตัดสินในสนามที่อาจจะมองเกมได้ไม่ทั่วถึง และอาจเกิดความผิดพลาดบ่อยครั้งขึ้น VAR จึงถูกนำมาช่วยเพื่อย้อนดูเหตุการณ์ หรือแง่มุมสำคัญต่าง ๆ ในสนาม ช่วยให้มีมุมมองที่เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญสามารถย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วและมองไม่ทัน ซึ่งอาจเป็นต้นตอของปัญหาในเกม เพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ขอบคุณภาพประกอบ Ben Sutherland สัญญาอนุญาต CC BY 2.0 แต่หลังจากได้ทดลองใช้ไปแล้วทั่วโลกก็มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เพราะเราจะเห็นเกมบางเกมที่ต้องหยุดรอการตัดสินนานร่วม 5 นาที เกมบางเกมที่อีกฝ่ายกำลังบุกแต่กลายเป็นว่าถูกย้อนกลับไปให้จุดโทษ หรือเกมบางเกมที่ยิงประตูเข้าไปแล้ว ดีใจกันไปแล้ว กลับกลายเป็นไม่ได้ประตูก็มีให้เห็นมากมาย สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้เสน่ห์ของเกมฟุตบอลหายไป ความรวดเร็ว ความต่อเนื่อง หรือในแง่มุมของอารมณ์ แพสชั่นก็เป็นเรื่องสำคัญ VAR แต่ละประเทศ ก็อาจมีข้อกำหนดเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่างกันไป อย่างเช่นในเกมฟุตบอลอังกฤษ จะไม่มีจอข้างสนามให้ผู้ตัดสินได้ดู เหมือนประเทศอื่น โดยให้กรรมการในห้อง VAR ได้ดูเพียงที่เดียว แล้วใช้การพูดคุยกันโดยตรงเพื่อวินิจฉัย โดยประเทศอังกฤษอ้างว่าเพื่อจะทำให้เกมไม่ต้องหยุดชะงักเป็นเวลานาน ขอบคุณภาพประกอบ Trueid.net หรืออย่างบางประเทศมีจอโทรทัศน์ขนาดยักษ์ให้ผู้ชมในสนามได้ดูจังหวะที่มีปัญหาไปพร้อม ๆ กับผู้ตัดสิน แต่ในบางประเทศกลับมีเพียงจอสกอร์บอร์ดที่แจ้งผลการตัดสินเท่านั้น จึงเกิดข้อถกเถียงเป็นวงกว้างในวงการฟุตบอลว่า จริง ๆ แล้ว VAR มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน เพราะหากจำเป็นและมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ความสนุกเร้าใจของฟุตบอลก็จะเริ่มลดหายไปได้เช่นกัน แน่นอนว่าเราไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีที่จะมาช่วยให้เกมกีฬามีความโปร่งใส ชัดเจน ยุติธรรม แต่จะทำอย่างไรให้กระชับ ฉับไว และไม่ต้องหยุดเกมนานเกินไปอย่างที่เป็นอยู่ ขอบคุณภาพประกอบ Trueid.net ถึงแม้ว่า VAR จะนำมาใช้ตัดสินเพียงไม่กี่เหตุการณ์ก็ตาม ประตู ใบแดง จุดโทษ และการลงโทษผู้เล่น แต่หาก VAR ตัดสินค้านสายตา ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้กรรมการตัดสินแบบเดิม ก่อนหน้าที่จะมีระบบ VAR หรือ Video Assistant Referee เข้ามาใช้นั้น หลายฝ่ายก็ได้เสนอทางออกกันมาหลาย ๆ ทาง เช่น เพิ่มจำนวนผู้ตัดสินในสนาม หรือเพิ่มจำนวนผู้ตัดสินหลังประตู เพราะเชื่อกันว่าจะทำงาน และประสานงานกันได้เร็วกว่า เพื่อที่เกมจะได้ไม่หยุด ขอบคุณภาพประกอบ Trueid.net จุดที่ VAR ในเกมฟุตบอลต้องแก้ไขให้ได้เลยก็คือ ทำอย่างไรก็ได้แต่ต้องไม่ให้เกมหยุด ต้องไม่ทำลายบรรยากาศในสนาม รวมถึงอารมณ์ทั้งของนักเตะและแฟนบอลมากไปกว่านี้ เพราะหลังจากทดลองใช้ครั้งแรกในปี 2016 จนถึงเวลานี้ก็เป็นเวลากว่า 4 ปี ก่อนที่จะเริ่มใช้อย่างจริงจัง ตัว VAR ก็มีปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้อยู่หลายเรื่องเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเกมแห่งอนาคตเราคงปฏิเสธการเข้ามาของเทคโนโลยีที่มีจุดประสงค์เพื่อความยุติธรรมไม่ได้ เพียงแต่การพัฒนาขีดความสามารถของ VAR เพื่อให้เข้ากับเสน่ห์ของกีฬาฟุตบอล ก็ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจริง ๆ ขอบคุณภาพปก Trueid.net Trueid.net