“เด็กหญิงอีดะ” เป็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องแปลจากหนังสือ "Futari No Ida" เขียนโดย มัตสุทานิ มิโยโกะ นักเขียนชาวแดนปลาดิบ เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลแอนเดอร์เสนนานาชาติซึ่งเป็นรางวัลที่ทรงคุณค่า โดยมอบให้กับวรรณกรรมเยาวชนที่มีความสร้างสรรค์ ทั้งนี้หนังสือ “เด็กหญิงอีดะ” ในประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็มักจะเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่เราชาวไทย มีโอกาสได้อ่านหนังสือดีดีจากประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน หนังสือฉบับแปลไทยนี้ แปลโดย ผุสดี นาวาวิจิต และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อเรื่องราวเริ่มต้นจากเด็กชายนาโอกิผู้เป็นพี่ชายและน้องสาวชื่อเด็กหญิงยูโกะ ถูกแม่พาจากโตเกียวไปฝากไว้กับบ้านตายายในเมืองเล็ก แล้วแม่ก็ต้องไปทำงานอีกเมืองหนึ่ง เมื่อนาโอกิได้เดินสำรวจเมืองแถวบ้านตายาย ก็ได้พบกับเสียงประหลาดที่พูดว่า “ไม่มี ไม่มี ไม่มีที่ไหนเลย” ซึ่งเป็นเสียงของเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งที่พูดได้ และเดินได้ด้วย ต่อมายูโกะหายตัวไป เขาออกไปตามหาจนพบว่ายูโกะอยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่ง ที่มีเก้าอี้พูดได้ตัวนั้น และต้องแปลกใจที่เห็นน้องสาวคุ้นเคยกับบ้านหลังนั้นและเก้าอี้เป็นอย่างดีเก้าอี้ประหลาดนั่นกำลังรอการกลับมาของอีดะ ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญว่ายูโกะชอบพูดคำว่า “อีดะ”อยู่เสมอ เมื่อเก้าอี้ได้เจอยูโกะก็เชื่อว่าคืออีดะที่มันรอคอยอยู่นั่นเอง ในขณะที่นาโอกิเถียงกับเก้าอี้ว่าไม่ใช่ แต่นี่คือยูโกะน้องสาวของเขาผู้เดินทางมาจากโตเกียวต่างหากล่ะ ทำให้นาโอกิต้องการรู้ที่มาที่ไปของคนที่เก้าอี้ตามหาระหว่างที่อยู่ที่บ้านตายายนั้น ทำให้นาโอกิได้รู้จักกับพี่ริทสุโกะ ซึ่งเป็นหญิงสาวผู้ที่มีบ้านในละแวกเดียวกันกับบ้านตายาย อยู่มาวันหนึ่งริทสุโกะได้ชวนนาโอกิและยูโกะไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ จนได้ไปเจอกับเก้าอี้ที่มีลักษณะเดียวกับเก้าอี้พูดได้ตัวนั้น มันทำให้นาโอกิต้องการสืบรู้ให้ได้ว่า ใครเป็นช่างฝีมือที่สร้างเก้าอี้ขึ้นมา เมื่อถามกับเก้าอี้พูดได้ มันตอบแค่ว่าคุณตาสร้างขึ้นมา แล้วคุณตาและอีดะก็จากบ้านไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเลยต่อมานาโอกิได้เจอกับอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญในการที่จะหาคำตอบ คือปฏิทินแบบฉีกที่บ้านหลังนั้น ซึ่งนาโอกิได้บอกเล่าเรื่องราวให้ริทสุโกะรู้ เพื่อที่ริทสุโกะจะได้ช่วยคิดหาคำตอบให้ โดยปฏิทินนั้นมันถูกฉีกจนถึงวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 วันต่อมาเมื่อริทสุโกะได้ชวนนาโอกินั่งรถไฟไปลอยโคมที่เมืองฮิโรชิมา ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 6 สิงหาคม การเดินทางไปในครั้งนี้ทำให้นาโอกิได้ทราบวันวันที่ 6 สิงหาคมของเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วเป็นวันที่มีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา จึงเป็นไปได้ว่าคุณตาที่อยู่ในบ้านหลังนั้นพร้อมกับอีดะถูกระเบิดตายไปแล้วเมื่อนาโอกิกลับมาจึงได้มาพูดคุยกับคุณตาของเขาได้ความว่า ช่างที่ทำเก้าอี้ถ้ามีชีวิตอยู่ก็จะอายุ 90 กว่าปี โดยมีลูกสาวชื่อมากิโกะ ซึ่งคนที่เล่าเรื่องนี้เป็นเพื่อนของมากิโกะมาก่อน วันรุ่งขึ้นนาโอกิกับยูโกะได้ไปที่บ้านประหลาด ตั้งใจจะไปบอกความจริงแก่เก้าอี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก เพราะแม่ของนาโอกิกำลังจะมารับกลับบ้านที่โตเกียวแล้วเขาจึงรีบไปถามกับเก้าอี้ว่าวันที่คุณตากับอีดะออกจากบ้านไปนั้น เขาได้บอกว่าไปฮิโรชิมาหรือเปล่า เก้าอี้พยายามนึกและตอบว่าใช่ และยังบอกได้อีกว่าพอคุณตาออกจากบ้านไป ก็มีแสงสว่างเกิดขึ้น และมีเสียงดังสนั่น นาโอกิจึงได้บอกว่าคุณตากับอีดะถูกระเบิดตายไปแล้ว เก้าอี้ตกใจกับสิ่งนาโอกิบอก แต่มันไม่เชื่อและยังบอกว่าอีดะอยู่นี่ไง เก้าอี้ให้นาโอกิพิสูจน์ว่ายูโกะคืออีดะ ด้วยการดูด้านหลังของยูโกะ หากมีไฝ 3 เม็ดแสดงว่ายูโกะคืออีดะ เมื่อนาโอกิเปิดเสื้อยูโกะเพื่อดูแต่ไม่พบว่ามีไฝแต่อย่างใด เก้าอี้รับรู้ความจริงพร้อมกับตัวที่สั่น ในที่สุดมันก็แตกแยกออกเป็นชิ้น ๆนาโอกิพายูโกะกลับมาที่บ้านตายายพบว่าแม่มารออยู่แล้วและจะต้องเดินทางกลับโตเกียวในคืนนี้ เขาจึงรีบไปหาริทสุโกะเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่ก็ไม่พบใคร จึงได้เขียนจดหมายถึงริทสุโกะและฝากคุณยายเอาไว้ นาโอกิรู้สึกเสียใจที่ทำให้เก้าอี้ตาย และคิดว่าเรื่องความลับต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเก้าอี้มันเผยออกมาหมดแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว จนกระทั่งนาโอกิได้รับจดหมายตอบจากริทสุโกะ จึงได้มารู้ความจริงที่กระจ่างชัดอีกครั้ง...สำหรับเราแล้วต้องขอบอกว่าหนังสือเล่มนี้อ่านสนุกมาก ๆ น่าติดตาม แม้ว่าตอนจบเป็นอะไรที่เศร้า แต่ปมของเรื่องทั้งหมดก็ถูกคลี่คลายอย่างลงตัว และสร้างความประทับใจในการอ่านมากค่ะ นอกจากนี้การอ่านเรื่องนี้ทำให้ได้เข้าใจถึงความเจ็บปวด ที่คนญี่ปุ่นต้องประสบจากการถูกทิ้งระเบิดที่เมืองฮิโรชิมา มันเป็นการสูญเสีย การพลัดพราก และแม้แต่ผู้ที่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องมาประสบกับโรคที่มาจากการได้รับรังสีของอาวุธที่ร้ายกาจนั้น หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากมีโอกาสลองหามาอ่านกันนะคะ และหากสนใจหนังสือเล่มนี้สามารถสอบถามได้จากสำนักพิมพ์ผีเสื้อค่ะภาพจาก pintas (ผู้เขียนเอง) : ภาพปก / ภาพประกอบ1 และขอขอบคุณภาพจาก pixabay : ภาพประกอบ2 / ภาพประกอบ3 / ภาพประกอบ4ติดตามอ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก pintas