ครั้งหนึ่งผมได้รับข้อความขอความช่วยเหลือมาจาก ทีน่า (Tina) เพื่อนชาวเวียดนามที่ให้ผมจัดทริปเมืองไทยให้กับลูกค้าฝรั่งเศสของเธอ ผมคิดว่าทริปที่ผมจัดให้เขาจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น “ลูกค้า VIP เราลืมโทรศัพท์ไว้ที่สนามบินที่ไทย นายช่วยเอามาส่งคืนลูกค้าที่นี่ก่อนเขาบินกลับได้มั้ย มันสำคัญกับเขามาก” ทีน่าถาม การส่งของข้ามประเทศโดยปกติอาจใช้เวลาเป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือน เร็วสุดก็ 3 วันซึ่งค่าส่งก็แพงมาก และลูกค้าของเรากำลังจะบินออกจากเวียดนามภายใน 2 วัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้บริการส่งของทั่วไปแล้วได้ของทันเวลา การบินไปส่งของเองที่นั่นจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด และประหยัดที่สุด ซึ่งผมเข้าใจว่าทำไมทีน่าถึงขอแบบนั้น “แลกกับอะไร เพราะบริษัทคงไม่จ่ายให้ผมไปถึงนั่นเพื่อส่งของแน่ๆ และเรื่องนี้ผมต้องรับผิดชอบเอง” ผมอธิบาย “มาเถอะ เราจะจัดการให้พร้อมกับทริปที่ซาปา ถ้านายสนใจ” เขาเสนอ และนั่นทำให้ผมต้องรีบเตรียมตัวด่วนเพราะมีเวลาแค่วันเดียวก่อนจะเดินทาง โดยจุดหมายถัดไป คือ ซาปา ประเทศเวียดนาม หอย วายร้ายที่สร้างรายได้ให้เกษตรกร เรานัดเจอกันที่ออฟฟิศของเธอที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟฮานอย กว่าจะถึงก็ค่ำพอดี หลังจากจัดแจงเอาโทรศัพท์ไปส่งให้ถึงมือลูกค้าก่อนเดินทางกลับประเทศในวันรุ่งขึ้น เธอก็พาผมไปทานอาหารท้องถิ่นเพื่อเลี้ยงขอบคุณที่ทีมผมทำให้ลูกค้าของเธอประทับใจยันวินาทีสุดท้าย อาหารท้องถิ่นที่ว่าไม่ใช่เฝอ แต่เป็น หอยโข่งลวก (Ốc) คนเวียดนาม โดยเฉพาะที่ฮานอยชอบมากครับ เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีทุ่งนาเยอะมาก การนำหอยโข่ง หอยขม หอยนามาเป็นเมนูอาหารว่าง เท่ากับเป็นการกำจัดศัตรูพืช และสร้างมูลค่าไปด้วยในตัว ถ้าคุณมาฮานอยและไปตามร้านอาหารคนท้องถิ่นจริงๆ ร้านหอยน้ำจืดก็เป็นธุรกิจขายดี เป็นที่นิยม และพบได้แทบทุกถนนครับ จนปัจจุบัน ไม่ใช่แค่จับจากท้องนา แต่ชาวนานิยมเลี้ยงหอยในร่องนาเลยครับ ขายได้ทั้งข้าวและหอย ทีน่าสั่งหอยหลายแบบที่ต้มกับตะไคร้และใบมะกรูดแก้คาวพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดมาให้ผมลองชิม น้ำจิ้มซีฟู้ดที่กินกับหอยที่นี่นับว่าเผ็ดมากแล้วสำหรับคนเวียดนาม เพราะซดน้ำตามไปหลายอึก ในขณะที่คนไทยอย่างเรา แค่นี้สบายมาก วิธีกินหอยน้ำจืดแบบนี้ เขาใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแล้วลากเอาตัวหอยออกมา จากนั้นตัดปลายดำๆออก เพราะเป็นส่วนของเสียของหอย ผมที่ทานครั้งแรกไม่รู้ เลยกินไปทั้งตัวครับ ปรากฏว่าท้องเสียทั้งคืนเลย หลับแล้วตื่นขึ้นกลางซาปา จากฮานอยไปซาปา เราสามารถต่อรถไฟตู้นอนจากฮานอยไปเหล่าไก (Làu Cai) เพื่อต่อรถไปซาปาในวันรุ่งขึ้นหรือจะนอนฮานอยคืนนึง แล้วค่อยนั่งรถขึ้นซาปาวันถัดไปก็ได้ แต่เนื่องจากทีน่าอยากให้ผมได้ประสบการณ์แบบ Local เราจึงออกเดินทางกันในคืนนั้นเลย เธอพาผมมาที่บ้านเพื่อเก็บของก่อนในย่านชานเมืองฮานอย ก่อนจะพาเราไปรอรถนอนที่ป้ายรถเมล์ใกล้บ้านซึ่งผ่านทางนั้นประมาณ 4 ทุ่ม รถนอนที่นี่เป็นรถบัสนอนจริงๆครับ เอนหลังเอาขายัดร่องหนุนหมอนห่มผ้าห่มนอนเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมงในการเดินทาง ระหว่างนั้นก็นอนยาวไปเลยครับ ข้อเสียคือโพรงที่ไว้ยัดขาลงไปเหยียดนั้นค่อนข้างแคบจนไม่สามารถพลิกตัวได้ ขนาดผมที่ตัวเล็กไซส์ต่ำกว่ามาตรฐานยังรู้สึกแอบอึดอัด ไม่ต้องพูดถึงคนสูงกว่า คนที่น้ำหนักตัวมากกว่า หรือชาวต่างชาติไซส์ฝรั่งที่อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่นัก และผมแนะนำให้นั่งรถไฟตู้นอน หรือนั่งรถบัสชมวิวไปตอนกลางวันดีกว่าครับ ข้อดีของรถนอนคือ ผมที่แม้จะเป็นคนเมารถง่าย ก็สามารถขึ้นดอยสูงชันได้โดยไม่รู้สึกเวียนหัวเลย เรามาถึงซาปาตอนตี 3 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้มาก เราจึงต้องงมหาทางไปโรงแรมท่ามกลางสายหมอก ซึ่งต้องเดินเท้าต่อจากจุดที่รถจอดไปอีก 1.5 กิโลเมตรครับ บ้านเมืองเงียบสงบยามค่ำคืน มีเพียงสายหมอกบางๆปะทะหน้าและอากาศที่เย็นเจี๊ยบประมาณ 10-12 องศา ทีน่าบอกว่า ที่นี่เปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ที่เธอเคยมาตอนเป็นไกด์ เธอหยุดถ่ายรูปตรงลานประจำเมือง ก่อนเราจะงมทิศในแผนที่ และเดินฝ่าถนนดินลงไปตามทาง ขณะนั้นกำลังซ่อมถนนอยู่ ถนนเป็นดินลูกรังที่ฝุ่นตลบอบอวล เราเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆตรงเกือบสุดถนน จนเจอโรงแรมในที่สุด โรงแรมของเราชื่อ Sapa Relax Hotel & Spa เป็นโรงแรม 3 ดาวที่กรุ๊ปทัวร์ไทยมาพักบ่อยๆ อยู่ตรงหัวมุมถนนพอดี และช่างโชคดีที่โรงแรมยังเปิดให้เข้าอยู่ แม้จะตีสามแล้วตอนนั้น เรื่องม้งๆ เราได้นอนกันแค่ 3 ชั่วโมง ก่อนจะตื่น 6 โมงครึ่งมาหาอะไรรองท้องตอนเช้า และได้โจทย์ว่าวันนี้ต้องเดินข้ามเขา 8 กิโลเมตรรวด เราเดินไต่ไปตามสันเขาที่อีกด้านหนึ่งมีทิวเขาสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง อากาศสดชื่น หอมกลิ่นป่า และความชื้นของดิน เธอนำผมเลี้ยวลงจากถนนหลักสู่ทางเดินไปหมู่บ้านชาวเขาที่ชื่อ กั๊ตกั๊ต (Bản Cát Cát) มีชาวม้ง พูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อเดินตามพวกเรามาอาสานำทางให้ เช่นเดียวกับเด็กน้อยที่เสียมเรียบ และแม่จัน ที่เชียงราย เธอไม่ได้เรียนหนังสือ แต่พูดอังกฤษ ฝรั่งเศส และเวียดนามได้จากการเรียนจากนักท่องเที่ยว ม้ง มีหลากหลายเผ่าย่อยลงไปอีก เช่น ม้งขาว ม้งดำ ม้งเขียว แต่งกายและมีวัฒนธรรมแตกต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียดปลีกย่อย ม้งทั้งในไทย ลาว และเวียดนาม พูดภาษาหลักเดียวกัน คือภาษาม้ง และพูดภาษาของประเทศนั้นเป็นภาษาที่สองเพื่อสื่อสารกับคนกลุ่มอื่นในประเทศ เช่น ม้งในไทย พูดได้ทั้งภาษาม้ง และภาษาไทย เป็นต้น ม้งที่ซาปาเอง จึงต้องหัดพูดภาษาเวียดนามเพิ่มเพื่อสื่อสารกับชาวเวียดนามท้องถิ่น และเรียนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสจากนักท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการศึกษานอกโรงเรียน และเรียนจากประสบการณ์ชีวิตจริงโดยไม่ต้องมีใบประกาศนียบัตรหรือใบปริญญาแต่อย่างใด น้องม้งหลังจากที่นำทางเรามาพักหนึ่ง รวมถึงหยุดรอเราที่ร้านกาแฟข้างทางเนื่องจากผมหิวน้ำและกาแฟจัดจ้านจนเดินต่อแทบไม่ไหว ในที่สุดทีน่าก็ตัดสินใจให้เราช่วยเลือกซื้อสินค้าที่เธอตามขายมาอย่างสองอย่าง เพื่อให้เธอได้เดินกลับไปรับลูกค้ารายถัดไป เธอขายทั้งสมุดทำมือ หน้าปกทำจากป่านศรนารายณ์ทอมือซึ่งทีน่าชี้ให้ดูชาวม้งผู้ใหญ่หลายคนที่เดินไปทอไป กล่องดินสอผ้าป่าน ไปจนถึงผ้าพันคอย้อมสีคราม ผมเลือกอุดหนุนผ้าพันคอของเธอ แม้เนื้อค่อนข้างแข็ง แต่เป็นงานทอมือ ลายสวย และใช้ได้ทั้งพันคอสู้ลมหนาวในเวียดนาม และคลุมหัวกันแดดที่ร้อนเปรี้ยงบนยอดเขาที่ซาปา ขึ้นเขาลงนา ภูมิประเทศของซาปา เป็นป่าโปร่ง สลับทุ่งนาของชาวบ้าน ที่มีเพียงที่นาเล็กๆ แต่ก็เห็นร่องรอยความอุดมสมบูรณ์ของรวงข้าวที่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วจนเหลือแต่ตอ บางจังหวะต้องปีนข้ามช่องต้นไม้แคบๆ และลื่นล้มบนหินกรวด เราเดินผ่านลำธารที่ใสเจี๊ยบจนเห็นพื้นด้านล่าง จากร่องรอยที่โขดหินริมฝั่ง บอกผมว่าในฤดูฝน น้ำคงจะเยอะกว่านี้ เราเดินข้ามสะพานจากเขาฟากหนึ่งมาสู่อีกฟากหนึ่งก่อนที่ทีน่าจะชี้ให้ผมหันกลับไปดูอีกฝั่งที่เราข้ามมา ภาพนาขั้นบันไดแบบพาโนราม่าตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของผม น่าเสียดายที่เราไปหลังช่วงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว นาที่ครั้งหนึ่งเคยเชียวชะอุ่ม เหลือเพียงซากตอหลังเก็บเกี่ยวเป็นสีน้ำตาลหมดทั้งเขา แต่ผมพอจะจินตนาการช่วงฤดูที่ข้าวเต็มนาจนเขียวชะอุ่ม และช่วงข้าวออกรวงจนเหลืองอร่ามไปทั้งหุบได้ไม่ยาก ทีน่าบอกว่าช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นตุลาคม เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่ข้าวออกรวง และเป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุดสำหรับซาปา เนื่องจากซาปา สามารถเที่ยวได้ในเวลา 3 วัน 2 คืน เรียกได้ว่าเที่ยวได้แทบไม่ต้องลางาน ถ้าโควิดหมดภายในปีนี้ ผมคงหาโอกาสพาครอบครัวกลับมาที่นี่อีกรอบ เรามาถึงสุดหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตตอนเที่ยงกว่าเกือบบ่าย เดินกันมาประมาณ เกือบ 6 ชั่วโมง ทั้งเหนื่อยทั้งหิว ทีน่าสั่งไก่ต้มทั้งตัวไว้รอ ชาวเวียดนามชอบทานไก่บ้าน เนื้อแห้งครับ เธอบอกว่าปลอดภัยกว่าไก่อุตสาหกรรมที่เนื้อหนานุ่ม แต่ฉีดฮอร์โมนและสารเคมีเร่งโต ไก่ต้มที่บ้านเรา จะทานกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวหรือน้ำจิ้มซีฟู้ด แต่ที่เวียดนามจะใช้เกลือ พริก และใช้น้ำส้มจี๊ดละลายแทนมะนาว น้ำจิ้มลักษณะแบบนี้ เป็นน้ำจิ้มทั่วไปที่ใช้ทานกับเนื้อย่างหรือหมูกระทะด้วย หลังจากเดินมาแล้วประมาณ 12 กิโลเมตร ก็ไม่ไหวจะเดินกลับ ทีน่าเลยติดต่อหารถเช่าแถวนั้นขับพาเราจากหมู่บ้าน ไต่เขาอ้อมวกไปประมาณ 3 ลูกเพื่อไปส่งเรากลับโรงแรมและสลบเหมือดที่โรงแรมจนเย็น ยามเย็นที่ซาปาที่ลานกลางเมืองคึกคัก ผิดกับตอนตีสามที่เราเดินผ่าน ลานแน่นขนัดด้วยนักท่องเที่ยว และวัยรุ่นชาวเวียดนามที่ไปเล่นกีฬากันในลาน ใกล้ๆลาน มีโบสถ์นอร์เธอร์ดามอีกแห่ง สร้างจากหิน (Stone Chuch) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซาปา ที่บางคู่มาใช้ที่นี่เป็นฉากแต่งงาน หรือถ่าย Pre-Wedding นักท่องเที่ยวมาที่นี่เยอะจนเราแทบหามุมถ่ายรูปไม่ได้ ช่วงเย็นโบสถ์ไม่เปิด เราจึงได้เพียงถ่ายรูปโบสถ์ที่เรื่องแสงหลากสียามโพล้เพล้จากด้านนอก ที่เวียดนาม เราจะเห็นโบสถ์นอร์เธอร์ดามอยู่ในใจกลางเมืองใหญ่ทั่วประเทศ (อารมณ์เดียวกับที่เราสามารถเจอวัดมหาธาตุได้ในเกือบทุกจังหวัด) สร้างโดยชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 20 สมัยอาณานิคม จึงเรียกชื่อเดียวกันกับทุกโบสถ์สำคัญที่นี่ ฟานสิปัง ขั้นบันไดที่รอผู้พิชิต ซาปาไม่ได้มีเพียงนาขั้นบันไดเท่านั้นที่เป็นจุดที่ต้องมาเห็นความอลังการที่นี่ ในอีกด้านหนึ่งของเมือง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอินโดจีนที่เราคุ้นชื่อกันว่า ฟานสิปัง (Phan xi păng หรือ Fansipan) มีอีกฉายาหนึ่งว่า “หลังคาอินโดจีน” ด้วยความสูง 3,147.3 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คุณสามารถท้าทายร่างกายและวัยหนุ่มสาวด้วยการปีนบันได 603 ขั้นขึ้นสู่ยอดเขา หรือยอมเสียค่ารถรางประมาณ 700 บาท ก็สามารถขึ้นสู่ยอดเขาได้ง่ายๆ ใช้เวลาเพียง 15 นาที โดยสามารถซื้อตั๋ว และขึ้นรถรางได้จากสถานี Sun Plaza ที่ตั้งอยู่ข้างลานกลางเมืองได้ครับ ถ้าจะมาฟานสิปัง ผมแนะนำให้คุณเผื่อเวลาไว้อีกวันนึงเต็มๆสำหรับไปและกลับ เพราะการปีนหลังคาอินโดจีนไม่ได้ทำได้ทุกวัน แนะนำให้ใช้เวลาเก็บเกี่ยวความเย็นและอากาศดีๆบนนั้นให้เต็มที่ครับ และถ้าโชคดี ในฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคมบางวัน คุณสามารถสัมผัสหิมะขาวโพลนบนยอดเขาฟานสิปัง หรือถ้าโชคดีกว่านั้น คุณอาจได้เห็นหิมะตกลงที่ใจกลางเมืองซาปาเลย ขอบคุณภาพจาก: https://bit.ly/3faBcRM ขอบคุณทีน่าที่สละเวลาอันมีค่ามาทำให้ผมหลงรักซาปา และวางแผนจะกลับไปเห็นความอลังการในช่วงเวลาที่สวยที่สุดในเร็ววัน ณ โต๊ะทำงานในกรุงเทพ วันแต่ละวันของผมช่างวุ่นวายจนหาเวลาหยุดแทบไม่ได้ เพื่อนร่วมงานถามผมว่า “นายเคยทำโปรแกรมกระเตงมั้ย” “ไม่นะ หมายถึงกระเตงลูกหรอ หรือยังไง” ผมถามกลับ เพราะไม่เคยได้ยินแม้แต่คำว่า กระเตง แต่ถ้ากระเตงหอบลูกเข้าข้างเอวนั้นพอจะเคยได้ยินอยู่ “ไม่ใช่อ่ะ ลูกค้าขอโปรแกรมไปโฮมกระเตง สมุทรสงคราม” เครดิตภาพ: นาคิน อ้างอิง: https://bit.ly/2VTLEVY https://bit.ly/2KQwF95