ปกติเวลาคนอื่นเขาจะไปเที่ยวกัน เขาต้องวางแผน เตรียมเสื้อผ้า หน้าผม ให้ครบพร้อม แล้วจึงค่อยเดินทาง แต่เราและเพื่อนไม่เป็นแบบนั้น นั่งกินข้าวกันอยู่ดี ๆ เราก็เกิดไอเดียว่า อยากไปเที่ยวจังหวัดพะเยา เพื่อน ๆ ก็ไม่ขัดศรัทธา เก็บของยัดใส่กระเป๋าไปเที่ยวกันเลยจร้า ออกจากเชียงใหม่ ประมาณบ่าย 3 ค่อย ๆ ขับรถไป ชมวิวไปเรื่อย ๆ ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็ถึงจังหวัดพะเยาในเวลาทุ่มกว่า ๆ ด้วยความที่เรามาแบบไม่ได้เตรียมตัว ที่พง ที่พัก อย่าได้พูดถึง ไม่มีจ๊ะ หาเอาดาบหน้าซิจ๊ะ 55 หาอยู่สักพัก เราก็ได้ที่พักตรงหน้ากว๊านพะเยาเลย คืนนี้ นอนเอาแรงกันก่อนน้า เช้าแล้วจ้า ตื่นมาด้วยบรรยากาศที่สดชื่น ได้เห็นกว๊านพะเยายามเช้าที่ไม่มีผู้คน สายลมเย็นเอื่อย ๆ ปะทะร่าง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า สมองโล่งอย่างบอกไม่ถูก เช้า ๆ แบบนี้ มีพระมาเดินบิณฑบาตด้วยนะ เราในฐานะชาวพุทธจึงซื้ออาหารมาถวายพระเพื่อเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ (ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะ) เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน ทำบุญกันเสร็จแล้ว เดินเล่นรับอากาศดี ๆ กันสักพัก จึงมาคิดกันว่า เราจะไปเที่ยวไหนดี ช้าอยู่ใย ค้นหาใน Google ซิคะ.. และแล้วเราก็มีเป้าหมายแล้วจร้า จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ก็คือ วัดติโลกอารามหรือวัดกลางน้ำกว๊านพะเยา ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่กลางกว๊านพะเยาที่มีอายุราว 500 กว่าปี เป็นศาสนสถานเก่าแก่ที่มีมาก่อนกว๊านพะเยา จมอยู่ใต้กว๊านพะเยายาวนานกว่า 68 ปี ปัจจุบันตัววัดยังจมอยู่ใต้กว๊านพะเยามีเพียงยอดเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐดินเผาเท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ที่สำคัญก็คือ การเดินทางไปวัดแห่งนี้ ต้องนั่งเรือไปนะ ไปค่ะไปนั่งเรือกัน เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน การนั่งเรือในครั้งนี้ มีค่าโดยสารนะจ๊ะ คนละประมาณ 30 บาท แต่ว่าต้องรอให้จำนวนคนครบก่อนเรือถึงจะออก ใครต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถเช่าเหมาลำได้เลยจ้า แต่เราและเพื่อนนั้น ไม่ต้องการความเป็นส่วนตัว เน้นราคาถูกไว้ก่อน เอ้ย ไม่ใช่ เราต้องการเจอเพื่อนใหม่เช่นกัน รอให้คนครบ จึงเริ่มเดินทาง... เรือในที่นี้ ไม่ใช่ เรือสปีดโบ๊ทนะ แต่เป็นเรือหางยาวที่ใช้แรงคนพาย คลาสสิคไปอีก คุณลุงคนพายเรือ เล่าว่า ในช่วงวันพระ เวลากลางคืนจะมีลูกแก้วลอยขึ้นฟ้าสว่างไสว แล้วพุ่งไปยังวัดต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ กว๊านพะเยา จากนั้นก็จะพุ่งกลับมาที่วัดติโลกอารามแล้วก็หายไป เราอยากเห็นความมหัศจรรย์นั้นสักครั้งจัง คุณลุงยังบอกอีกว่า ที่นี่มีการเวียนเทียนกลางน้ำด้วย วิธีการเวียนเทียน ก็คือ เราจะนั่งอยู่บนเรือเพื่อทำการเวียนเทียนรอบลานอิฐดินเผาและพระธาตุที่โผล่พ้นผิวน้ำ ซึ่งวัดนี้ จะเวียนเทียน 3 ครั้งต่อปี คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา เมื่อเราไปถึงวัดแล้ว สวยงามมากจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่า วัดจะสามารถอยู่ในน้ำได้ โดยไม่สูญหายไปตามกาลเวลา เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน ฟังจากคุณลุงเล่าพร้อมกับได้เห็นบรรยากาศรอบ ๆ วัดแล้ว ทำให้เราและเพื่อน อยากกลับมาที่นี้อีกครั้ง เรารู้สึกว่า วัดนี้ทำให้จิตใจของเราสงบขึ้น หยุดคิดเรื่องราววุ่นวายต่าง ๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศโดยรอบ เราไม่รู้หรอกนะว่า เป็นเพราะสายน้ำที่เราเห็น หรือสายลมที่เราได้สัมผัส ที่ทำให้อยากกลับมาที่วัดแห่งนี้อีก แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร เราต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน.. เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน