ขอเริ่มด้วยการแสดงรายชื่อนักเตะที่ลงเล่นในเกมนี้กันก่อน เจ้าบ้านเชลซี มีเกปาคุมเสา กองหลังมีชุดเดิม คือ รีซ เจมส์, แอนเดรียส คริสเตนเซ่น, เคิร์ท ซูม่า, และมาร์กอส อลองโซ่ คุมแดนหลัง แดนกลาง ใช้ ก็องเต้, จอร์จินโญ่, และโควาซิชที่พ้นโทษแบนกลับมาคุมเกมอีกครั้ง ส่วนกองหน้าได้แวร์เนอร์ซึ่งเป็นนักเตะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลหลายคนเคยคิดว่าจะได้ตัวมาอยู่กับทีมแน่นอน แต่สุดท้ายก็มาอยู่กับเชลซีแทน เล่นร่วมกับเมาท์, และฮาแวร์ตซ์นักเตะค่าตัวแพงที่เกมแรกฟอร์มยังไม่โดดเด่น จะได้รับโอกาสในเกมนี้อีกครั้ง ตัวสำรองของทีมได้แก่ กาบาเยโร่, โทโมรี, อัซปิลิเกวต้า, บาร์คลีย์, อับราฮัม, ชิรูด์, ฮัดสัน-โอดอย ส่วนทีมลิเวอร์พูลก่อนเกมมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้แฟนบอลตกใจสักหน่อย คือการใช้ฟาบินโญ่ลงมาเล่นเซ็นเตอร์แบ็คแทนโกเมซซึ่งมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยก่อนเกม และมาติปก็ยังไม่ผ่านความฟิต ทำให้หลายคนอาจกังวลว่าจะรับมือกับความเร็วของแวร์เนอร์ได้หรือไม่ ผู้รักษาประตู อลิซง กองหลัง เทรนด์,ฟานไดค์, ฟาบินโญ่, โรเบิร์ตสัน กองกลางมีเฮนโด้มาคุมเกมร่วมกับไวนาดุมและเกอิต้า ชุดเดียวกันกับเกมแรกที่เอาชนะลีดยูไนเต็ดมาได้ กองหน้าใช้สามประสานสะท้านฟ้า ซาล่า เฟอร์มิโน่ และมาเน่ บดเกมรับเชลซีที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในฤดูกาลก่อน ผู้เล่นสำรองของทีม ได้แก่ เอเดรียน, ซิมิคาส กองหลังตัวใหม่ของทีม, มิลเนอร์, ติอาโก้ กองกลางใหม่แกะกล่อง, โจนส์, มินามิโนะ, และโอริกี้ เริ่มเกมมาลิเวอร์พูลกดดันเร็ว เน้นหนุนขึ้นสูงตามสไตล์ของตัวเอง ทั้งสองฝ่ายเมื่อได้บอลก็จะพยายามครองบอลด้วยการเล่นลูกสั้นดูเชิงกันก่อน การครองบอลของลิเวอร์พูลก็จะเน้นเปลี่ยนแกนไปซ้ายทีขวาที และใช้การโยนบอลเข้าไปแต่ยังไม่มีจังหวะได้ยิง จนกระทั่งไวนาดุมที่มีสถิติยิงเชลซีมากที่สุดในทีมร่วมกับมาเน่ คือเคยยิงได้กันมาคนละ 3 ลูกแล้ว ต้องลองยิงไกลแต่ไม่เข้ากรอบ ส่วนเชลซีก็เน้นการจ่ายบอลทะลุช่องที่จะใช้ความเร็วของแวร์เนอร์หรือฮาแวร์ตซ์วิ่งไปที่ว่าง แต่ก็จะพะวงกับกับดักล้ำหน้าที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีในเกมนี้ เมื่อเกมผ่านไปครึ่งชั่วโมง การอ่านเกมของฟาบินโญ่ และการตัดบอลสวยๆ ไม่ให้แวร์เนอร์ได้แผลงฤทธิ์ก็ทำให้แฟนบอลพอจะอุ่นใจได้ ในครึ่งแรก ความเร็วของซาล่าก็ยังมีประโยชน์มาก วิ่งไปเอาบอลมาครองได้ดี เพียงแต่ยังหาโอกาสทำประตูไม่ได้ แวร์เนอร์มีจังหวะได้บอลมายิงโล่งๆ หน้าประตูในครึ่งแรกแต่ก็ยิงออกข้างไป แต่จังหวะก่อนหน้านี้กรรมการเช็คล้ำหน้าไปแล้วจึงทำให้แม้ยิงเข้าก็จะไม่เป็นประตู ลูกนี้อาจทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลเสียดายแวร์เนอร์น้อยลงได้นิดหน่อย ช่วงท้ายครึ่งแรกมีจังหวะสำคัญ จากทีมลิเวอร์พูลตัดบอลได้หน้ากรอบเขตโทษของตัวเอง แล้วเฮนโด้มองไกลจ่ายให้มาเน่หลุดเดี่ยว โดยมีคริสเตนเซ่นวิ่งตามหลังมา ก่อนที่มาเน่จะถึงบอลคริสเตนเซ่นก็ถึงตัวมาเน่ก่อน ทำให้ล้มกลิ้งไปด้วยกัน จังหวะนี้กรรมการแจกใบเหลืองทันที และเมื่อวิ่งไปดู VAR ดูจากจังหวะฟาล์วที่มาเน่น่าจะได้หลุดเดี่ยวไปยิงประตูได้ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนเป็นใบแดง ทำให้ทีมเชลซีเหลือแค่ 10 คนก่อนหมดเวลาครึ่งแรก ครึ่งหลังต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนตัวกันทีมละ 1 คน เชลซีให้โทโมรีที่เป็นนักเตะกองหลังลงมาแทนฮาแวร์ตซ์กองกลางชื่อดังที่วันนี้ก็ยังโชว์ฟอร์มไม่ออก โทโมรีจะได้มาอยู่ในตำแหน่งที่คริสเตนเซ่นโดนใบแดงออกไปนั่นเอง ส่วนลิเวอร์พูลก็ให้ติอาโก้กองกลางตัวใหม่ของทีมได้ลงมาแทนเฮนโด้กัปตันทีม แน่นอนว่าจะเปลี่ยนจากการครองบอลเหนียวแน่นในเกม เป็นหาโอกาสสร้างจังหวะทำประตูให้มากขึ้นจากความสามารถของติอาโก้ที่มีสถิติจ่ายบอลทำเกมได้ดีนั่นเอง แนวทางการเล่นของติอาโก้ดูจะคุมตำแหน่งได้ดี เมื่อเวลาผ่านไปก็จะมีลูกจ่ายทะลุช่องให้เห็นได้บ่อยขึ้น วางบอลได้แม่น ครึ่งหลังเล่นมาได้ห้านาที สามประสานสะท้านฟ้าของทีมลิเวอร์พูลก็แผลงฤทธิ์ให้ชมกัน เริ่มจากเฟอร์มิโน่ทำชิ่งกับซาล่าเอาบอลกลับมาโยนเข้ากลางให้มาเน่โขกเป็นประตู 1-0 สวยสดงดงาม เล่นมาอีกเพียงแค่ 3 นาที จากการบีบเกมเร็วของทีมลิเวอร์พูล และความขยันของมาเน่ ทำให้มาเน่เข้าไปตัดบอลจาก เกปา ผู้รักษาประตูของเชลซี ที่จะส่งบอลสั้นให้เพื่อนร่วมทีม แต่เมื่อพลาดถูกตัดบอลได้ มาเน่ก็ลงโทษซัดเข้าไปให้เป็นประตูนำ 2-0 ในครึ่งหลัง ฟาบินโญ่ ยังคงโชว์ฟอร์มเยี่ยม ในการตัดเกม ทำลายจังหวะขึ้นเกมของทั้งแวร์เนอร์ และทีมเชลซีได้อย่างอยู่หมัด จนผู้บรรยายถึงกับบอกว่า คนที่กลัวฟอร์มการเล่นของฟาบินโญ่นาทีนี้คงจะเป็นโกเมซเพื่อนร่วมทีมในตำแหน่งกองหลังนี้เองซะแล้ว เพราะเมื่อฟาบินโญ่เล่นตำแหน่งกองหลังได้โดดเด่น ตำแหน่งกองกลางที่เคยเล่นอยู่ก็มีติอาโก้ กับ โจต้า เพิ่งย้ายมาร่วมทีม ฟาบินโญ่จึงอาจมาแย่งตำแหน่งกองหลังเต็มตัวก็เป็นได้ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับผู้จัดการทีม นาทีที่ 64 ลิเวอร์พูลเปลี่ยนเอาเกอิต้าออก และให้มิลเนอร์ลงมาแทน จากนั้นนาทีเดียวไวนาดุมก็มีโอกาสได้ยิง แต่ยังถูกสกัดได้ ครึ่งหลังจังหวะสวนกลับของเชลซีก็พอมีให้เห็น และเมาส์มีจังหวะได้ปั่นข้ามคานไปนิดเดียว นาทีที่ 72 เกือบเป็นจุดเปลี่ยนของเกม จากจังหวะที่ลิเวอร์พูลเสียจุดโทษให้กับแวร์เนอร์ที่เลี้ยงตัดเข้ามาในกรอบเขตโทษ มาเฉี่ยวกับติอาโก้ที่วิ่งลงมาช่วยเกมรับ พยายามหลบให้แล้วแต่ก็ยังเฉี่ยวโดนกันให้แวร์เนอร์เสียจังหวะในกรอบเขตโทษ กรรมการชี้ให้เป็นจุดโทษทันที แต่ลิเวอร์พูลดวงยังไม่แตก เพราะจอร์จินโญ่ที่รับหน้าที่สังหารจุดโทษกลับยิงไม่ดีทั้งทิศทางและน้ำหนัก ทำให้อลิซง ผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูลพุ่งไปปัดไว้ได้ และกองหลังช่วยกันเคลียร์ทิ้งออกหลังไป นาทีที่ 78 เชลซีเปลี่ยนผู้เล่นถึง 2 คน ให้ แทมมี่ อับราฮัม กองหน้าลงมาเพิ่ม 1 คน และ รอสส์ บาร์คลีย์ กองกลางลงมาอีก 1 คน ถอดเอา จอร์จินโญ่ กับ โควาซิช ที่เป็นกองกลางทั้งสองคนออก จนนาทีที่ 83 เชลซีสวนกลับเร็ว อับราฮัม ได้โอกาสยิงแต่ยังติดอลิซงที่พุ่งปัดเอาไว้ได้ ช่วงท้ายเกมลิเวอร์พูลเน้นครองบอล นาทีที่ 86 ลิเวอร์พูลได้เตะมุม มีการเปลี่ยนตัวให้มินามิโนะลงมาแทนเฟอร์มิโน่ และซาล่าได้มีโอกาสโยนบอลเข้ากลาง บอลตกถึงฟานไดค์แต่ไม่มีจังหวะยิง ทำให้เกปาเก็บบอลเอาไว้ได้ นาทีที่ 88 แวร์เนอร์ได้สวนกลับมา แต่โยนบอลไม่ดีทำให้เสียโอกาสไป แวร์เนอร์เป็นนักเตะที่เรียกฟาล์วได้หลายครั้งในเกมนี้ ถือว่าความเร็วและการครองบอลของเขาก็สร้างปัญหาให้กับเกมรับลิเวอร์พูลได้พอสมควร ช่วงทดเวลาเจ็บสามนาที ลิเวอร์พูลยังมีโอกาสได้ยิงถึง 2 ครั้ง จากการลองยิงไกลของมาเน่ที่เกปาต้องพุ่งปัดออกหลัง และลูกยิงของซาล่าที่เกปาก็พุ่งปัดมาแฉลบตัวไวนาดุมออกหลังไป หมดเวลาลิเวอร์พูลบุกมาเอาชนะเชลซีได้ถึงถิ่น 2-0 เป็นการชนะ 2 ฤดูกาลติดกันแล้ว โดยรวมถือว่าลิเวอร์พูลเล่นได้ดีกว่า ผู้เล่นที่โดดเด่นของเชลซีคือแวร์เนอร์ที่มีความเร็ว และเรียกจุดโทษให้ทีมได้ แม้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นประตู รองลงมาคือกองเต้ที่ตัดบอลแดนกลางได้ดี ช่วยต่อบอลผ่านบอลช่วยเกมรุกได้ ส่วนผู้เล่นฝั่งลิเวอร์พูลเด่นในแดนหน้า สามประสานสะท้านฟ้า ยังโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จากจังหวะต่อบอลเป็นประตูขึ้นนำในลูกแรก และแน่นอนคนที่เด่นที่สุดคือมาเน่ ที่ไปเอาบอลมาทำประตูที่สองให้กับตัวเองและทีมได้ และที่โดดเด่นอีกจุดคือแนวรับของลิเวอร์พูล ที่ได้ฟาบินโญ่คอยตัดเกมสวนกลับของเชลซีได้อย่างโดดเด่น และฟูลแบ็คทั้งสองข้างก็ยังผลัดกันขึ้นมาโยนบอล เปลี่ยนแกนบอลกันได้ดี และที่เด่นที่สุดอีกคนหนึ่งนั่นก็คือผู้รักษาประตู อลิซง เบคเกอร์ ที่เซฟจุดโทษ และปัดลูกยิงของอับราฮัมช่วยให้ทีมไม่เสียประตูไว้ได้ เมื่อดูจากสถิติก็จะพอจะเดาได้ว่ารูปเกมใครเป็นอย่างไร ลิเวอร์พูลมีโอกาสยิง 18 ครั้ง ได้ 2 ประตู ในขณะที่เชลซีมีโอกาสยิงทั้งเกมแค่ 5 ครั้ง ไม่เป็นประตู ลิเวอร์พูลจ่ายบอลกัน 759 ครั้ง ในขณะที่เชลซีจ่ายบอลกัน 484 ครั้ง ลิเวอร์พูลทำฟาล์ว 6 ครั้ง เชลซีทำฟาล์ว 10 ครั้ง และสำหรับสถิติส่วนตัวของ ติอาโก้ อาคันทาร่า นักเตะกองกลางที่ได้ประเดิมสนามคนล่าสุด ไม่ธรรมดาเลย สามารถผ่านบอลได้สำเร็จถึง 75 ครั้งในช่วงเวลา 45 นาทีที่ลงเล่น มากกว่านักเตะทุกคนในทีมเชลซี และยังทำลายสถิติฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในการผ่านบอลมากที่สุดใน 45 นาทีนับตั้งแต่ฤดูกาล 2003-2004 อีกด้วย แต่สำหรับแมนออฟเดอะแมทช์ของเกมนี้คงต้องยกให้ซาดิโอ มาเน่ ที่สามารถเล่นได้อย่างโดดเด่น และทำได้ 2 ประตู สำหรับเกมนี้ก็ต้องถือว่าเป็นเกมที่เข้าทางลิเวอร์พูลมากกว่า และคงมีการบ้านให้แฟรงค์ แลมพาร์ด กลับไปแก้ไขกันอีกเยอะ สำหรับการต้องกลับไปเจอกันอีกครั้งที่บ้านลิเวอร์พูลในเดือนมีนาคมปีหน้านู้นเลย ขอขอบคุณการถ่ายทอดสดของทรูวิชั่น ที่ทำให้เราได้มีโอกาสได้ชมเกมดีๆ แบบนี้ ภาพประกอบทั้งหมดนำมาจากภาพในการถ่ายทอดสดของทรูวิชั่นครับ True Visions TV