ก่อนที่เราจะทำงานร่วมกัน เราต้องทำการยอมรับก่อนว่า ในที่ทำงานของเรานั้นมีคนหลาย ๆ Gen ถ้าเรารู้ความคิดและวิธีการทำงานของคนแต่ละ Gen จะช่วยให้เราทำงานได้ง่าย และสะดวกขึ้นเยอะเลย และอาจเป็นข้อได้เปรียบให้เราเข้าใจ และอยู่ร่วมกันสบายใจขึ้นในที่ทำงานคนในยุค Baby boomer นั้น จะมีอายุระหว่าง 55-72 ปี เกิดในยุค 2490-2507 ซึ่งอยู่ในยุคหลังจบสงครามโลกครั้งที่สองได้ไม่นาน จึงทำให้ลำบากมาก ทำงานหนักมาก และหลายคนที่ประสบความสำเร็จ มีความรอบคอบทางการเงิน อดออม ประหยัดมัธยัสถ์ จนถึงขั้นขี้เหนียว ไม่ยอมใช้สตางค์ เงินมีนะแต่ไม่ยอมใช้ เรียกได้ว่าชีวิตทั้งชีวิตหมดไปกับการทำงานเลย พวกเขาให้ความสำคัญมาก กับความซื่อสัตย์และความภักดีที่มีต่อองค์กรส่วนเจน X ที่เกิดมาในช่วงอายุ 38-54 ปี มองเห็นพ่อแม่ทำงานหนักและลำบากมาก่อน แถมไม่ยอมใช้เงินเลย คนเจนนี้ก็จะรู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว จะใช้ชีวิตด้วยการหาเงินอย่างเดียวแบบนี้ไม่ได้ คน Gen นี้ก็เลยให้ความสำคัญกับเรื่อง Work-Life balance คือการทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับครอบครัวไปด้วยแบบพอ ๆ กัน แต่พอทำงานเข้าจริง ๆ ถ้าเป็นคนที่มาจากยุค Gen X ที่บ้างานมาก ๆ Work-Life balance ในชีวิตของเขาก็อาจจะเป็น 90:10 80:10 หรือ 70:30 เพราะว่าเขายังคงสนุกกับการทำงานอยู่ และก็ยังใส่ใจและให้ความสำคัญกับครอบครัวไปด้วยในเวลาเดียวกัน คนยุคนี้สนใจในเทคโนโลยี และมีความคิดแบบ Open minded คือเลือกที่จะรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน ชอบทำงานแบบ เราคุยกันได้ ดีลงานด้วยการนัดมาคุยไปกินข้าวไปก็ได้ ขอแค่มีคนเก่ง ๆ มาทำงานได้หมดคน Gen Y เป็นคนที่ฉลาดเรื่องเทคโนโลยี มีความตั้งใจในการทำงาน มองว่าชีวิตนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเงิน และสถานภาพเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องของมูลค่า และความสุขสนุกมาเกี่ยวข้อง ทะเยอทะยาน ชอบการแข่งขัน และอยากจะได้รับความยอมรับจากคนอื่น มีอายุตั้งแต่ 24-37 ปี ไม่ได้มองเรื่อง Work-Life balance มีโลกส่วนตัวมากขึ้น มีความคิดที่เปิดกว้างและเป็นอิสระมากขึ้น ชอบที่จะได้อยู่กับเพื่อน ๆ พอ ๆ กับชอบที่จะได้ใช้เวลาอยู่คนเดียว คน Gen นี้จะมีความสำคัญมากในอนาคต และเป็นตัวเชื่อมอยู่ตรงกลางระหว่างคนทุก Gen ในที่ทำงานหรือที่บ้าน มีความเข้าใจในยุคอะนาล๊อก ก่อนการเข้ามาของเทคโนโลยีและสมาร์ทโฟน จึงเป็นจุดตรงกลางระหว่างขนบธรรมเนียมเก่า ๆ กับการเปิดกว้างความคิดใหม่ ๆ ที่เข้ามา เป็นสีแบบเรโทร และคน Gen นี้ อนาคตจะต้องขึ้นมาเป็นเจ้าคนนายคน แทนคนเจน X และ Baby boomer แต่ต้องอดทนสักนิดหนึ่ง เพราะถูกกฏต่าง ๆ กดทับจากคนรุ่นก่อน ๆส่วนคนที่เกิด Gen Z คือคนที่เกิดในยุค 2000 ขึ้นไป หรือตั้งแต่ 10-23 ปี คนกลุ่มนี้เกิดมาพร้อมกับสมาร์ทโฟน มักใช้เวลาส่วนมากอยู่กับหน้าจอมือถือ ถ้าไม่มี wifi ต้องตายแน่ ๆ รู้ทุกความเคลื่อนไหวของสิ่งที่ตัวเองสนใจ เช่น เสื้อผ้าใหม่ ๆ รองเท้าใหม่ ๆ หรือแบรนด์ดังมือถือเครื่องใหม่ แต่กลับไม่มี brand royalty เช่น ถ้าเป็นคน Gen z Gen y หรือ Gen boomer ถ้ามีความเชื่อใจในแบรนด์แล้ว ก็จะใช้แต่สิ่ง ๆ นั้น เช่น คนที่ซื้อแต่ไอโฟน ก็จะใช้แต่ไอโฟน คนที่ใช้ซัมซุง ก็จะซื้อแต่ซัมซุง แต่คน Gen Z เปลี่ยนแบรนด์ที่ใช้ได้ ขอแค่ตรงกับความต้องการของตัวเองในตอนนั้น ใจร้อน สมาธิสั้น ไม่ค่อยอดทน และสามารถทำอะไรได้หลาย ๆ อย่าง เช่น ฟังเพลงไป ทำงานไป เปิด google map ดูทาง จองโรงแรมไป และสั่งอาหารไปในเวลาเดียวกันสิ่งที่คนยุค Baby boomer ต้องเพิ่มเข้าไป เพื่อการอยู่ร่วมกันได้แบบสบายใจมากขึ้น และทำงานได้ประสิทธิภาพ และผลงานที่ดีกว่าเดิม คือ คนจากยุค Baby boomer ต้องทำความเข้าใจว่า โลกใบนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว จะมาบอกว่าประสบการณ์ในการทำงาน คือ สิ่งที่สำเร็จอย่างเดียวมันไม่ได้ โลกนี้มีการพลิกแพลง และวิธีหลายวิธีมากมายที่จะทำให้เราเดินไปถึงเป้าหมาย หรือความสำเร็จได้โดยไม่ใช่การอาศัยประสบการณ์อย่างเดียวคน Gen X ก็ต้องพัฒนาภาวะความเป็นผู้นำของตัวเอง เพราะว่าเขาต้องต่อยอดการทำธุรกิจ และรากฐานการนำทีมก็ต้องแข็งแรงมาก ๆ เขาต้องบริหารคนให้เป็น ส่วนคน Gen Y ต้องเสริมเรื่องความอดทน ความสามารถเรามีแล้ว แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และฝึกทักษะการสื่อสารออกไปให้มีประสิทธิภาพ เพราะคนกลุ่มนี้เข้าใจความแตกต่างระหว่างคน Gen ก่อน ๆ กับคน Gen ใหม่ คน Gen นี้จึงเหมือนกาวที่ต้องเชื่อมคนทุก Gen ให้เข้าด้วยกันส่วนคน Gen Z ก็ต้องฝึกเข้าสังคม สักวันเทคโนโลยีจะเข้ามา ทำให้คนตกงานและลำบากมากขึ้น แต่ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้อยู่กับมือถือ หรืออยู่ติดกับหน้าจออย่างเดียว สักวันคน Gen Z ก็ต้องเข้ามากลายเป็นคนสำคัญของบริษัท หรือกลุ่มคนที่องค์กรขาดไปไม่ได้สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการทำความเข้าใจ ว่าคนที่มาจากแต่ละ Gen นั้น แตกต่างและมีวิธีคิดที่ไม่เหมือนกัน การผ่านชีวิตและรูปแบบการทำงานก็แตกต่างกัน การทำความเข้าใจคน 4 Gen ที่แตกต่างกัน จะทำให้เราสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสบายใจมากขึ้นค่ะ และเรายังสามารถพัฒนาทักษะของเราในที่ทำงานให้ดีมากขึ้นได้ด้วยขอขอบคุณ เครดิต รูปภาพ หน้าปก / Canvaรูปภาพประกอบที่ 1 โดย Jorodin/ 2 โดย jarmoluk / 3 โดย natureaddict / Pixabay