ถ้าหนังสือเปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิดดังที่ใครเคยกล่าวไว้ ผมก็มีเพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กจำนวนมากพอสมควร และในบรรดาเพื่อนเหล่านั้นก็อาจจำแนกได้เป็นหลายประเภทแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย ตามความสนใจในการเลือกอ่านหนังสือในแต่ละช่วงเวลานั้น ๆกล่าวคือ ตอนเด็ก สมัยเรียนมัธยม ซึ่งเป็นวัยที่มีจินตนาการ จะชอบอ่านหนังสือนวนิยาย เรื่องสั้น พอเข้าสู่วัยทำงาน จะเริ่มอ่านหนังสือแนวที่สามารถปรับใช้ได้ในชีวิตจริง เช่น แนว How to , หนังสือคู่มือ เทคนิคการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็เริ่มสนใจหนังสือแนวจิตวิทยา ที่นำเสนอแนวคิดในการดำเนินชีวิตด้านต่าง ๆ โดยนักเขียนเจ้าของหนังสือแนวจิตวิทยาที่ผมสนใจอ่านผลงานก็มีหลายท่าน เช่น นพ.วิทยา นาควัชระ, รอนดา เบิร์น, ทพ.สม สุจีรา, ครูอ้อย - ฐิตินาถ ณ พัทลุง, ดังตฤณ เป็นต้นแต่ถ้าจะย้อนไประลึกถึงหนังสือเล่มแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นความสนใจงานเขียนแนวจิตวิทยาอย่างจริงจัง ก็น่าจะเป็นหนังสือ เข็มทิศชีวิต เล่มหนึ่ง ผลงานของครูอ้อย - ฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่เป็นหนังสือในกลุ่มแรก ๆ ที่ผมซื้อเป็นของตนเองในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่ ๆ (จากเดิมที่สมัยเรียนจะใช้การอ่านในห้องสมุดมากกว่า) จำได้ว่าตอนนั้นหนังสือวางจำหน่ายที่เซเว่นอีเลฟเว่น โดยเป็นช่วงโปรโมชั่นราคาพิเศษ 59 บาท (หรือ 69 บาท จำได้ไม่แน่นอนนัก เพราะหลายปีแล้ว แฮ่ ๆ)เหตุผลที่ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ในตอนนั้น เกิดจากการที่เห็นหนังสือเล่มนี้อยู่บนบ่อย ๆ บนชั้นจำหน่ายหนังสือของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นหลาย ๆ สาขา ลองหยิบมาอ่าน ๆ ดู เนื้อหาข้างใน เห็นว่าเป็นเนื้อหาที่อ่านง่าย ใช้ถ้อยคำกระชับ แต่บรรจุแนวคิดไว้ให้คิดตามและคิดต่อไปได้ และมีการจัดรูปแบบ ภาพประกอบ ที่อ่านแล้วสบายตา อันเป็นรูปแบบของหนังสือแนวจิตวิทยาทั่วไป แต่ตอนนั้นดูเหมือนว่าผมยังไม่ค่อยได้พบเจอหนังสือแนวนี้มากนัก ประกอบกับเมื่อพลิกดูคำนิยมที่ได้รับจากนักคิด นักเขียน ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น พระไพศาล วิสาโล คุณหมอประเวศ วะสี แสดงความชื่นชมต่อหนังสือเล่มนี้ ก็ยิ่งเหมือนการการันตีคุณภาพของหนังสือ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงโปรโมชั่นราคาพิเศษด้วย ผมจึงตัดสินใจไม่ยากนักที่จะพาหนังสือเล่มนั้นกลับมาอ่านต่อที่บ้านเมื่อได้อ่านเนื้อหาโดยละเอียด พิถีพิถันมากขึ้น ก็รู้สึกได้เลยว่าตัดสินไม่ผิด เพราะหนังสือเล่มนี้ถูกรังสรรค์ขึ้นจากแนวคิด ประสบการณ์ของครูอ้อย - ฐิตินาถ ณ พัทลุง ซึ่งทราบจากคำบอกเล่าในหนังสือว่า เธอเคยเผชิญกับความทุกข์มหันต์จากการสูญเสียคนที่รัก และประสบปัญหาชีวิต โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินที่หนักหน่วง แต่เธอก็สามารถผ่านมันมาได้ด้วยแนวคิดด้านบวก ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะแนวคิดที่เธอนำมาแบ่งปันผ่านตัวอักษรของหนังสือ ถือได้ว่าเป็นเสมือนภูมิคุ้มกัน หรือวิตามินที่บำรุงรักษาความคิดและจิตใจ ให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ทั้งดีและร้าย อีกทั้งเป็นแนวทางการบริหารจัดการความคิด จิตใจ และอารมณ์ เพื่อให้เป็นปัจจัยในการการสร้างแรงผลักดันให้สามารถขับเคลื่อนชีวิตต่อไปได้ด้วยแนวคิดของเราเองเป็นแรงผลักดัน โดยผู้เขียนได้ถ่ายทอดด้วยภาษาง่าย ๆไล่เรียงตามลำดับแนวความคิดตั้งแต่ก็ทำความรู้จักกับจิตใจและอารมณ์ภายในตัวเอง การเรียนรู้จากเรื่องเล็ก ๆ ใกล้ตัว ไปจนถึงการสร้างมุมมองต่อสิ่งรอบข้างที่อยู่บนเส้นทางแห่งชีวิต โดยแนวคิดน่าจะเป็นส่วนสุดท้ายของหนังสือ คือ ส่วนที่ 7 "ทุกอย่างรวมลงที่...ใจ"จากหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มนี้เอง เป็นเสมือนการจุดประกายแนวคิดที่ว่า จุดเริ่มต้นการขับเคลื่อนหรือพัฒนาชีวิตไม่ว่าด้านใด น่าจะต้องเริ่มจากการเรียนรู้ความคิดและจิตใจเพื่อใช้เป็นพลังตั้งต้น ที่เรียกว่าเป็นการพัฒนาชีวิตด้วยจิตวิทยา และนั่นเองเป็นที่มาของการติดตามอ่านผลงานเล่มต่อ ๆ ของนักเขียนท่านเดียวกันนี้ รวมถึงผลงานแนวจิตวิทยาของนักเขียนท่านอื่น ๆ ดังที่กล่าวไว้ตอนต้น และได้นำเอาแนวคิด ความรู้ที่ได้จากหนังสือเหล่านั้น มาประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนชีวิต ซึ่งหากมีโอกาสจะนำมาแบ่งปันกันในโอกาสต่อ ๆ ไป ภาพปกและภาพประกอบโดย 31singha