ภาพ - flickr.comเขียนไปทำไม หากคำถามข้อนี้เป็นการสอบข้อเขียนสมัยเรียนที่โรงเรียน ผมคงตอบมีสาระแบบเอาอกเอาใจครูผู้สอนเพื่อให้ได้คะแนนดี พ่อแม่อ่านแล้วต้องภูมิใจ รู้สึกว่าลูกตัวเองดูดีมีการศึกษา ประมาณว่าการเขียนเป็นหนึ่งในทักษะการสื่อสารของมนุษย์ นอกจากการฟัง การพูด และการอ่านแล้ว ตัวหนังสือหรือลายลักษณ์อักษรช่วยแสดงความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนออกมา เป็นการส่งสารที่มีความหมายให้ผู้รับสารใช้ทักษะการอ่าน เครื่องมือในการเขียนมีหลายอย่าง สมัยก่อน เช่น ดินสอ ปากกา พู่กัน กระดาษ หรือสมัยนี้มีคอมพิวเตอร์กับมือถือภาพ - flickr.comหลังจากอยู่ในสถานะนักศึกษาภาพยนตร์มา 4 ปีเต็ม พ่วงด้วยการเลือกเรียนวิชาโทเป็นการเขียนสารคดี ผมไม่ถึงขั้นเป็นยอดเซียนหรือจ้าวยุทธภพด้านน้ำหมึก แต่ได้ลิ้มลองฝึกฝนวิชามาพอสมควร ช่วยให้เข้าใจความหมายของตัวอักษรมากขึ้น แม้บางทีเกิดอาการเขียนไม่ออก (ที่สาเหตุไม่ใช่ปากกาหมึกหมด) เนื่องจากไม่มีคลังข้อมูลของเรื่องที่จะเขียนอยู่ในหัว กว่าจะแคะออกมาได้ก็ต้องใช้เวลา ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่เราชมก็เช่นกัน ไม่ได้เริ่มจากการนั่งเทียนออกกองถ่ายทำของทีมงาน แต่เป็นการนั่งเทียนเขียนบท…ไม่ใช่สิ หมายถึงเริ่มจากการเขียนบทของนักเขียนบท จารึกตัวหนังสือมากมายลงบนกระดาษเพื่อให้ผู้กำกับและทีมงานนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ไหนจะเอกสารตารางการถ่ายทำในมือของผู้ช่วยผู้กำกับ หรือเป็นไฟล์จัดการงบออกกองถ่ายในเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาของโปรดิวเซอร์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการเขียนและตัวหนังสือทั้งสิ้นภาพ - freepik.comส่วนในคาบเรียนการเขียนสารคดี นักเขียนสารคดีชั้นนำท่านหนึ่งของเมืองไทยได้กล่าวว่าสารคดีต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนหรือแต่งเรื่องขึ้นมา การเขียนมีหลายรูปแบบ เราเลือกใช้แต่ละรูปแบบเพื่อถ่ายทอดสารให้ผู้อ่าน เป็นจารึกที่มีความหมาย (แม้ผู้อ่านเสพข้อความแล้วตีความว่าไร้สาระ แต่อาจมีความหมายบางอย่างกับผู้เขียนก็ได้) และยังสามารถใช้เป็นหลักฐานตรวจสอบข้อเท็จจริงได้การร้อยเรียงสร้างสรรค์ตัวอักษรออกมาเป็นข้อความที่งดงาม เหมือนมองดูกวีหนุ่มกำลังแต่งกลอนจีบหญิงสาว ตลกบ้างเสี่ยวบ้าง แล้วหันไปอีกทางเห็นข้อความโฆษณาไอเดียสุดบรรเจิดบนป้ายโฆษณา หรือจะเปิดวิทยุฟังเพลงที่มีสัมผัสคล้องจองไปมาอย่างสนุก ชวนให้เราคิดว่าพวกเขาคิดอะไรขณะกำลังเขียน ตัวอักษรล้วนวนเวียนอยู่รอบตัวเราภาพ - freepik.comข้อความที่เราส่งออกไป บางครั้งมีความหมายตรงตัว บางคราต้องอาศัยการตีความ คงเป็นเสน่ห์ของการเขียนที่แม้ผู้อ่านร้อยพ่อพันแม่จะอ่านข้อความเดียวกัน แต่มักรับสารได้ไม่ตรงกันหรือไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และแนวความคิดของแต่ละคน เหมือนที่คนเราดูหนังเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อฉากสุดท้ายสิ้นสุดลง เราต่างได้อะไรไม่เท่ากันมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว หรือสุดท้ายเราเขียนเพียงเพื่อต้องการเล่นกับความคิดคนอ่าน.