สวัสดีจ้าทุกคน...ผู้เขียนเชื่อเลยว่าทุกคนมีปัญหาในการทำงานที่เหมือนกัน เพียงแต่แตกต่างกันในแต่ละอาชีพที่ทำงานไป ผู้เขียนมีประสบการณ์จากคนใกล้ตัว ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อเพื่อที่จะเป็นการ Bully เนื่องด้วยเขาต้องทำงานหนัก รายได้ที่เข้ามาไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในชีวิต ทำให้เขาเครียดและโดนรองฯ ที่เป็นหัวหน้าเอารัดเอาเปรียบเรื่องเงิน จนเก็บความกดดัน ไม่สามารถจัดการอารมณ์กับตนเองได้ มักจะเก็บความเครียดมาตลอด คนในครอบครัวเป็นห่วงเขามาก เขามักจะมีปัญหาเรื่องปวดท้องจากความเครียดบ่อย แต่เขายังทุ่มกับงานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว หรือเผื่อเวลาให้ตัวเอง ในที่สุดก็ทะเลาะกับคนในบ้านเพราะไม่แยกแยะว่า ในบ้าน ถ้าเกิดความขัดแย้งกับคนในครอบครัว ไม่ควรเอาอารมณ์ไปลง เพราะความขาดสติของเขาเอง ทำให้ครอบครัวร้าวฉานลงเพียงเพราะ...เขาทุ่มเทมากเกินไปจนทำร้ายคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว นี่ก็เป็นบทเรียนจากการทำงานที่ขาด "กึ่งกลาง" ไม่ว่าจะส่งผลด้านสุขภาพกายและสุขภาพใจ Credit pic : pexels Work-Life Balance เราคงได้ยินคำว่า Work-Life Balance บ้างแล้ว ซึ่งก็หมายถึงตรงตัวเลยว่า การมีสมดุลในตนเองระหว่างชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงาน คนเรามักเข้าใจศัพท์นี้อย่างผิวเผิน แต่กลับใช้ในทางปฏิบัติไม่ได้เลย หลายคนยังมุ่งมั่น ทุ่มเทเพื่อให้งานออกมาดี และชีวิตเราจะไม่โดนดูถูกในอนาคต แต่บางทีความเต็มที่ของเรามากเกินไป มากจนเสียความเป็นตัวเราเอง จนลืมชีวิตของเราว่า...คุณค่าในชีวิต ความสุขในชีวิตของเราคืออะไร การนำหลักของ Work-Life Balance มาใช้เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตบนทางสายกลาง ไม่ซ้ายเกินไป และไม่ขวาเกินไป ที่สำคัญ ต้องแยกแยะให้ออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในด้านคุณภาพของงาน Credit pic : pexels ถ้า Work "ไร้" Balance ล่ะ? 1. ปัญหาทางสุขภาพกาย - เราจะหนีไม่พ้น Office Syndrome เพราะอาการเหล่านี้ไม่ใช่แค่เกิดในกรณีคนในออฟฟิศเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นเนื่องจากทำงานมากเกินไป เช่น เราไม่เปลี่ยนอิริยาบถในการทำงานเลย เราใช้กล้ามเนื้อหนักในมัดกล้ามเนื้อเดิมซ้ำซากจนจำเจ อีกทั้งยังมีปัญหาปลายประสาท รวมทั้งพังผืดที่ข้อมือ - การทุ่มกับงานมากเกินไป เป็นการสร้างนิสัยในการรับประทานอาหารไม่ครบมื้อ เช่น ไม่ทานมื้อเช้า เพียงเพราะอยากมาให้ทันเข้างาน ทานอาหารไม่ตรงเวลาเพียงเพราะอยากทำงานให้เสร็จ หรือกลับบ้านดึกเลยทานมื้อดึก - สมดุลทางสรีรวิทยามีปัญหา ทำให้ระบบในร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ เช่น เวลาเกิดความเครียด มักจะมีปัญหาเรื่องเครียดลงกระเพาะ เนื่องจากระบบของฮอร์โมนแปรปรวน เป็นผลมาจากคอร์ติซอลมากเกินไป ทำให้น้ำย่อยหลั่งมากกว่าปกติ จึงส่งผลให้ลำไส้บีบตัวแรงผิดปกติ - อาการปวดศีรษะเนื่องจากกลไกของ CNS และความผิดปกติของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการจัดการความเครียด เช่น Endorphine และ Serotonin - เมื่อเราขาดการดูแลตัวเองที่ดี ส่งผลต่อ Immune System หรือระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเกิดมีปัญหา เช่น SLE (โรคพุ่มพวง) 2. ปัญหาทางสุขภาพจิต นอกจากผลของความเครียดจากงานแล้ว อีกปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานนั่นก็คือ - Burn Out Syndrome เนื่องจากเราทุ่มเทมากไปจนส่งผลเสียต่อชีวิตประจำวัน ทำให้เราหมดไฟในการทำงาน แม้ว่างานที่ทำจะเป็นงานที่ชอบก็ตาม - Depression หรือโรคซึมเศร้า เนื่องจากรับแรงกดดันจากการทำงานมากไป ไม่ว่าจะงานมีปัญหา หรือกดดันจากคนรอบข้าง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าได้ ความศรัทธาในองค์กร หรืองานที่ทำจะลดลง เพราะสภาพจิตใจแย่ขึ้นเรื่อย ๆ - อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นกว่าเดิม ด้วยความมุ่งมั่นจนเครียด และผลกระทบที่ได้รับจากงาน ทำให้กดดันทางอารมณ์มากกว่าเดิม จึงส่งผลให้หงุดหงิดง่าย อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ มากกว่าเดิม Credit pic : pexels การจะนำ Work-Life Balance มาจัดการต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้เราต้องค่อย ๆ จัดการบนความสบายใจของเราเป็นหลักจะดีกว่า อะไรที่เราทำแล้วสบายใจ ไม่ทำให้ชีวิตมีปัญหา ก็อยากเผื่อไว้ในด้านนี้บ้าง อะไรที่โอเค ทำแล้วมีความสุขกับชีวิตเราก็ทำมันดู มันก็ช่วยให้ตัวเอง Relax ขึ้น บางครั้งการตั้งใจทำงานมันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเราตั้งใจทำงานจนมากเกินไป ระบบชีวิตเราจะไม่รวน และความสัมพันธ์ในครอบครัวและคนรักต้องดีกว่านี้ การจัดสมดุลชีวิตตนเองและการทำงาน ขึ้นอยู่กับหน้าที่งานของแต่ละคน ไม่มีอะไรตายตัว หรืออาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ แต่ถ้าเราค่อย ๆ ปรับในเรื่องของจิตใจ ถ้าเราแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้ เราจะสามารถจัดการชีวิตของเราได้ดีขึ้น เหลือที่ว่างสำหรับดูแลร่างกายตัวเองและพูดดีกับคนใกล้ชิด เราก็สามารถจัดการกับตนเองได้อย่างมีความสุข อย่าลืมว่าที่ทำงานเขามีสิทธิ์หาใครแทนเราได้ แต่ถ้าคนในครอบครัวไม่มีเรา ไม่มีใครแทนเราได้ในจุดนี้เลย ผู้เขียนขอจบบทความเพียงเท่านี้...สวัสดีจ้า :) Credit pic ภาพปก : pexels