ช่อง NANAKE555 เป็น Youtube Channel ของ เกตุเสพสวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม “น้าเน็ก” นั่นเอง ซึ่งช่องนี้ได้เข้าร่วม Youtube เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ยอดผู้ติดตามนั้นมีจำนวนสูงถึง 1.18 ล้านคน ซึ่งช่อง Nanake555 นั้นก็ไม่ได้มีจำนวนผู้ติดตามเยอะมาตั่งแต่แรก จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้คนสนใจที่จะติดตามช่องนี้นั้นก็คือการจัดรายการแบบ Live ในรายการ “ น้าเน็ก พบลูกเพจ ” เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562 โดยเป็นการไลฟ์เล่นๆของน้าเน็ก โดยที่ไม่มีการโปรโมทล่วงหน้าใดๆเลย แต่กลับมีผู้คนเข้ามาดู Live อย่างล้นหลาม มีคนโทรเข้ามาเพื่อคุย “หน้าไมค์กับน้าเน็ก” เพื่อร่วมพูดคุยกันมากมายหลายสิบสาย จนกลายเป็นรายการสดออนไลน์ที่มีความยาวถึงสองชั่วโมง จากสองชั่วโมง กลายเป็นสามชั่วโมง จากสามชั่วโมงกลายเป็นสี่ชั่วโมง จากสี่ชั่วโมงกลายเป็นห้าชั่วโมง และในที่สุด รายการนั้นก็ถูกปรับรูปแบบให้กลายเป็นรายการออนไลน์จริงๆจังๆ ในชื่อ “ อย่าหาว่าน้าสอน ” และรายการนี้ก็กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นในการทำสื่อออนไลน์ของน้าเน็กเลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นก็มีรายกายใหม่ๆเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ นับว่าเป็นการเติบโตของช่องนี้อย่างก้าวกระโดดมากๆรายการ อย่าหาว่าน้าสอน รายการนี้ได้เริ่มสตรีมผ่าน Youtube เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 มียอดวิวไปถึง 4.6 แสนวิว ซึ่งที่มาของชื่อรายการนี้เป็นชื่อเดียวกับหนังสือที่เขาเคยเขียน รายการนี้ก็กลายเป็นคอนเทนต์ตอบปัญหาชีวิตแบบเต็มตัว มีผู้คนหลายเพศ หลายวัย หลายอาชีพที่โทรเข้ามาเพื่อให้ “พี่” ของพวกเขาอย่างน้าเน็ก คอยเป็นผู้รับฟังและจัดเรียงปัญหาให้กับพวกเขา ผู้ที่โทรติดก็จะมีโอกาสพูดคุยเรื่องราวต่างๆ และน้าเน็กก็จะคอยถามไถ่สารทุกข์สุบดิบ จัดระเบียบชีวิตให้กับพวกเขา และมีผู้ชมทางออนไลน์เป็นพยายาน คนที่โทรไม่ติดก็มีมาก และทุกสายที่โทรติดน้าจะพูดทิ้งทายกับทุกสายว่า “โชคดีที่มึงโทรติด” จากวันแรกที่รายการได้สตรีม คำนวณเล่นๆก็น่าจะมีคนโทรเข้าไปในรายกายแล้วไม่น้อยกว่าพันสาย ปัญหานับพันที่มีตั่งแต่เรื่องใหญ่ๆ จนไปถึงเรื่องบ้าบอคอแตก บางทีก็เป็นสายที่แค่อยากจะคุยกับน้าเน็กสักครั้งในชีวิตวิเคราะห์รายการ “อย่าหาว่าน้าสอน”เนื้อหาของรายการก็จะเป็นการคุยเรื่องอะไรก็ได้ ฟรีสไตล์ แต่คนส่วนใหญ่จะโทรมาเล่าเรื่องของตัวเอง แล้วถามว่า น้าเน็ก คิดอย่างไร หรือว่าจะมีความเห็นอย่างไร ? ซึ่งน้าเน็กพูดในรายการนี้ได้ดีมากๆ ขนาดเป็นรายการสด คนฟังร้อยพ่อพันแม่ที่จะโทรเข้ามา แต่น้าเน็กก็มีคำพูดแบบเป็นกลาง คือ ชวนคุย ให้คนที่โทรเข้ามา มีไอเดียด้วยตนเอง หรือถ้าเป็นเรื่องที่แกรู้ พอมีคอนเน็คชั่น เช่น ขายของ ทำเพจ วงการบันเทิง ฯลฯ แกก็ช่วยแนะนำ แต่จริงๆแล้วน้าเน็กมีแนวทางพูดคุยที่ถูกต้องแล้ว คือ เป็นคำตอบที่ไม่ใช่คำตอบ “ไม่มีคำตอบให้ ให้กลับไปคิดเอาเอง” เพราะถ้าคนที่มีปัญหาเหล่านี้ ไปพบจิตแพทย์ จิตแพทย์ก็จะไม่มีคำตอบให้เช่นกัน แต่จะชวนคุยกลับ หรือให้ key word บางอย่าง ที่ทำให้คนฟังเอาไปจัดระบบความคิดของตัวเอง จนกระทั่งคลี่คลายได้ด้วยตนเอง “ไม่มีคำตอบให้ คือ คำตอบที่ดีสุด”ปรากฎการณ์ทางสังคมไทยในด้านทัศนคติสิ่งหลักๆเลยที่ทำให้ผู้ชมหลายคนติดตามรายการนี้นั่นก็คือการได้ฟังปัญหาชีวิตหรือเรื่องราวต่างๆของคนอื่น เพราะเรื่องบางเรื่องของคนที่ไม่รู้จักก็อาจจะเป็นเหตุการณ์คล้ายๆชีวิตเรา บางคนอาจจะเจอปัญหาที่ใหญ่กว่าแย่กว่าเรา จึงทำให้มีผู้ชมอยากที่จะโทรเข้าไปพูดคุยกับน้าเน็กมากจนบางครั้งโทรศัพท์ที่รับสายในรายการพังไปเลย เพราะน้าเน็กเป็นคนที่ให้คำปรึกษาน้องๆทุกคนได้ดีมาก ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีหรือร้ายน้าก็จะคอยให้คำปรึกษาที่ดี เปลี่ยนมุมมอง ปรับทัศนคติ ให้น้องๆได้ทุกเรื่องยกตัวอย่าง เรื่องของคุณอุ้ม สาวที่เป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์ เธอรู้สึกไม่มีความภูมิใจในชีวิตตัวเองเลย เวลาเธอเห็นเพื่อนๆทำอาชีพข้าราชการ,ตำรวจ,ครู,หมอ แต่ละคนมีดูมีรายได้ที่มั่นคง และมีเงินให้พ่อแม่ใช้ได้ ซึ่งเธอมองมาที่ตัวเองก็เป็นเพียงแค่แม่ค้าคนนึงที่เปิดร้านกาแฟ และยังไม่สามารถให้เงินพ่อแม่ได้ น้าเน็กจึงชวนมาช่วยกันคิดว่า “ มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบจะต้องเป็นอย่างไรบ้าง ” ทั้งคู่ได้มาคิดคำตอบกันว่า ต้องหน้าตาต้องสวยแบบ อั้ม พัชราภา , ความรู้ปริญญาเอก , เงินในบัญชีหลักพันล้าน ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ แต่ !! น้าเน็กบอกคุณอุ้มว่า “ พี่ไม่เคยเจอคนแบบนี้ในโลกเลย บางคนอาจจะมีพันล้านแต่อาจจะจบ ม.3 และหน้าตาไม่ดีก็มี และที่สำคัญคือถึงต่อให้มีครบทุกข้อก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความทุกข์ อุ้มแค่มองไปยังคนอื่นแล้วก็แค่ไม่พอใจในตัวเองแต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นดีกว่า ” และสุดท้ายน้าเน็กก็ได้สอนคุณอุ้มไปว่า “ทุกอาชีพมีความหมาย สิ่งที่อุ้มทำก็มีความหมาย เพราะว่าในสังคมแต่ละคนต่างก็ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด แทนที่อุ้มจะรู้สึกภูมิใจว่าทุกอาชีพมากินกาแฟที่ร้านอุ้ม แต่อุ้มกลับมองว่าทำไมอุ้มไม่เป็นอย่างเขาบ้าง อุ้มเป็นเจ้าของธุรกิจ พวกเขาคือลูกจ้าง ในช่วงวันที่สุขภาพไม่แข็งแรงก็อยู่พักเฉยๆ หายดีก็ไปใช้ชีวิต มันเรียบง่ายอย่างนั้นเอง” บทสนทนาในครั้งนี้ได้สัมผัสถึงความต่างในน้ำเสียงของคุณอุ้มจากต้นคลิปที่เศร้า มีความทุกข์ แต่หลังจากได้คำสอนจากน้าเน็กไปก็สัมผัสได้ถึงความสบายใจของคุณอุ้มได้อย่างชัดเจน ปัญหานี้อาจจะไม่ได้มีแค่คุณอุ้มที่เจอผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายๆคนที่ประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน คำสอนของน้าจึงมีผลต่อทัศนคติของคุณอุ้มและผู้รับชมในสังคมไทยไม่น้อยเลย และยังมีอีกเป็นร้อยๆเรื่องที่น้าแก้ปัญหา เปลี่ยนมุมมอง ปรับทัศนคติให้น้องๆ ที่โทรเข้ามาในรายการปรากฎการณ์ทางสังคมไทยในด้านอายุในบรรดาแฟนรายการ อย่าหาว่าน้าสอน ช่วงอายุของผู้ร่วมสนุกนั้น น้อยที่สุดคือ อายุ 14 ปี ไปจนถึง 60 ปี ซึ่ง และช่วงอายุที่มีมากที่สุดก็คือ 25-35 ปี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะในสังคมไทยช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่ต้องพบเจอปัญหามาก และต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่มากที่สุด ไม่ว่าจะจะเป็นเรื่องงาน เรื่องแฟน เรื่องครอบครัว เรียกได้ว่าเป็นช่วงกลางของชีวิตที่พร้อมจะพบปัญหาทุกๆเรื่องเลยก็ว่าได้ปัญหาส่วนใหญ่ของช่วงอายุ 14-24 นั้นก็จะเป็นเรื่องปัญหาชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถในตัวเอง เรื่องเรียน และที่มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความรัก ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อความคิดในสังคมไทยในในการขอคำปรึกษาโดยที่ส่วนใหญ่เรื่องบางเรื่องก็สามารถปรึกษาคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัวได้ แต่ทำไมถึงเลือกที่จะมาปรึกษาน้าเน็ก ที่เป็นแค่ดาราคนหนึ่ง นั่นหมายความว่าปัญหาบางอย่างหลายๆคนไม่กล้าที่จะบอกคนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัว หรือครอบครัวก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วยยกตัวอย่าง น้องปอนด์ เด็กอายุ 15 ปี ที่ถูกครอบครัวบังคับให้เรียนพิเศษในช่วงปิดเทอม แต่ตนไม่อยากเรียนเพราะคิดว่าเรียนไปทำไมเดี๋ยวเปิดเทอมก็เรียนอีก ซึ่งการเรียนของน้องปอนด์ก็ดีอยู่แล้ว ได้ 3.30 กว่า แต่ทางบ้านอยากได้ 3.50 ขึ้นไป และน้าเน็กก็ได้วิเคราะห์ถึงเจตนาที่แท้จริงของครอบครัวน้องปอนด์ ว่าคงอยากจะให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในช่วงปิดเทอมก็ได้ แต่น้องปอนด์ก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่อยากเรียน แต่พอจะพูดกับครอบครัวก็ดูก้าวร้าว ไม่เชื่อฟัง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในสังคมไทยว่า “ในครอบครัวไทย ผู้ใหญ่ไม่ยอมรับฟังความเห็นของเด็ก” เด็กจึงเลือกที่จะมาปรึกษาน้าเน็กที่เป็นคนไกลตัวปัญหาส่วนใหญ่ของช่วงอายุ 36-60 ปี ก็จะเป็นเรื่อง การงานอาชีพ เงิน ชีวิตครอบครัว ชีวิตในวัยเกษีณน และน้อยมากที่จะเป็นปัญหาด้านความรัก สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมไทยช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่ให้ความสนใจกับความมั่นคงในชีวิตมากที่สุด แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังประสบปัญหาอยู่ไม่น้อยเลยยกตัวอย่าง เรื่องของคุณเอก อายุ 47 ทำอาชีพพนักงานและก็ลูกจ้างโรงงาน ซึ่งปัญหาของคุณเอกก็คือ อยากจะออกมาทำโรงงานเองแต่ก็กลัวไปไม่รอด เป็นลูกจ้างก็ปลอดภัยดีแต่ว่าหน้าที่การงานไม่โต อายุก็เยอะแล้วจะให้ออกมาเสี่ยงก็ไม่ได้ และเป้าหมายของคุณเอกก็ไม่ชัดเจน น้าเน็กจึงแนะนำให้เกาะอาชีพที่ได้เงินแน่ๆไว้ก่อน เพราะคุณเอกไม่มีการวางแผนหรือความมั่นใจเลยที่จะออกไปทำโรงงานแล้วจะดีกว่าการเป็นลูกจ้าง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาในสังคมไทยในเรื่องความมั่นคงของอาชีพการงานของคนในสังคม เพราะถึงแม้อายุเยอะแล้วก็ยังต้องพบเจอกับปัญหาในการงานหน้าที่อยู่ดี เรื่องนี้จึงเป็นข้อคิดสำหรับคนที่กำลังวางแผนชีวิตการทำงาน ว่าเราควรวางแผนดีๆให้รอบคอบตั่งแต่อายุน้อยๆ หรือถ้าอยากจะหาอาชีพทำเพิ่มก็ควรค่อยๆวางแผนทำไปทีละนิด และเกาะอาชีพหลักไว้ก่อน เพราะถ้าอยู่ๆคิดออกมาเปิดโรงงานเลยเหมือนคุณเอกก็อาจจะเกิดผลเสียได้ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกๆคนที่ได้ร่วมโทรเข้ามาในรายการก็จะกลายมาเป็นพี่น้องกับน้าเน็ก และเด็กหลายๆคนก็อยากจะมีพี่ชายที่เก่งและคอยช่วยเหลือแบบน้าเน็กนั่นเอง จึงทำให้มีความกล้าที่จะโทรเข้ามาพูดคุย นับได้ว่าเป็นรายการที่ไม่มีข้อจำกัดของอายุเลยการใช้ภาษาในรายการ อย่างที่ทราบกันดีว่าน้าเน็กเป็นพิธีกรที่ตลก ขี้เล่น และพูดติดคำหยาบคายอยู่ตลอด แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกถึงความใกล้ชิด เป็นพี่น้องกันมากขึ้น การใช้ภาษาในรายการของน้าเน็กก็จะพูด มึง กู ตลอดกับผู้ร่วมสนุกเกือบทุกสาย แถมยังมีคำหยาบอย่างเช่น ไอเหี้_ ไอสั_ว์ อยู่ตลอด แต่นั่นก็คือเสน่ห์ของน้าเน็กในการพูด ที่ทำให้ผู้รับชมสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติ เป็นกันเอง เปรียบเหมือนพี่น้องกันจริงๆและในการให้คำปรึกษาคำพูดของน้าเน็กก็ค่อนข้างจะเป็นคำพูดที่ดี ไม่รู้สึกว่ามัน "ประดิษฐ์" เป็นคำคมสวยหรูมากไป ไม่โลกสวย ไม่พยายามจะให้คำคม มันเป็นคำพูดที่ดีมีชั้นเชิงพอเหมาะ เป็นธรรมชาติอวัจนภาษาในรายการ ตั่งแต่ EP.1 จนถึงปัจจุบันสิ่งแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ แว่นตา และเสื้อฮาวาย ที่น้าเน็กสวมใส่อยู่ตลอดทุกเทป เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องคู่กับน้าเน็กเลยทุกๆสายที่โทรเข้ามาในรายการน้าจะทำการจดข้อมูลของน้องๆทุกคน เพื่อแสดงถึงความใสใจในข้อมูลฉากของรายการจะประกอบไปด้วย สินค้าจากผู้สนับสนุนรายการ ฉากหลังจะเป็นชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือเยอะๆสื่อถึงการให้ความรู้สาระได้อย่างดี ได้อารมณ์เหมือนเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดที่คอยแนะนำหนังสือ(ทางออกของปัญหา)ดีๆให้น้องๆที่โทรไปปรึกษา กิริยาตอนจัดรายการก็ดูธรรมชาติ สบายๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางในหน้า หรือ ท่าทางเหมือนคุยกับพี่ กับน้องจริงๆสรุปสิ่งที่ได้รับจากรายการ “อย่าหาว่าน้าสอน”ประเด็นที่น่าสนใจอย่างแรกของเรื่องนี้นั้นก็คือประเด็นเรื่อง “ปัญหาของคนในสังคมไทย” ซึ่งรายการนี้ได้ตอบได้อย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่จะเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนล้วนแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น และต้นตอของปัญหานั้นก็เกิดขึ้นจากตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง, ความคิด หรือทัศนคติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าหลายๆคนในสังคมไทยนั้น มักจะยึดติดกับมุมมองของตัวเอง เวลาเจอปัญหาก็จะหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ และการแก้ปัญหาของน้าเน็กนั้นก็คือ การแก้ไขทัศนคติให้ใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมมอง ความคิด ในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งถ้าทุกคนมีทัศนคติ มุมมองหลายๆด้าน ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองประเด็นที่น่าสนใจอย่างที่สองนั่นก็คือ “ข้อจำกัดของอายุ” ซึ่งรายการนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะอายุห่างกันหลายสิบปีก็สามารถพูดคุยกันได้ เพราะในสังคมไทยคนอายุน้อยมักจะไม่ค่อยอยากคุยกับคนที่อายุมากกว่าเนื่องจากความกลัวบางอย่าง แต่รายการนี้ก็ได้ทำลายความกลัวนั้นให้กับเด็กหลายๆคนไปได้ เพราะการได้คุยกับคนอายุมากกว่าจะได้รับมุมมอง แนวคิดใหม่ๆ ให้กับชีวิตตัวเองได้อย่างไม่น้อยเลยประเด็นที่น่าสนใจอย่างที่สามคือการใช้ภาษาในการพูด “น้าเน็ก” เป็นคนที่พูดหยาบคายแทบจะตลอดรายการไม่ว่าจะเป็นคำว่า มึง กู ไอเหี้_ ไอสั_ว์ หรือคำพูดที่ทะลึ่ง ลามก แต่ว่าการพูดของน้าเน็กนั้นความรู้สึกที่ได้รับมันดูไม่หยาบคายเลย และทำให้สัมผัสถึงความใกล้ชิดและเข้าถึงมากขึ้นด้วย และผมคิดว่าความหยาบคายไม่ได้อยู่ที่ภาษาเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่จุดประสงค์ของผู้พูดด้วยว่าต้องการจะสื่อไปในทางไหนและประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจคือเรื่องบุคลิกภาพที่ชัดเจน น้าเน็ก มีความเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ชมหลายๆคน ทั้งในเรื่อง “บุคลิกภายนอก” ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ การใช้ภาษา กิริยาท่าทางที่เหมาะสม การใช้สายตา การแสดงออกทางสีหน้า และ “บุคลิกภายใน” ในด้านความจริงใจ มีความเข้าใจและเห็นใจผู้ฟัง มีความรอบรู้ ความเชื่อมันใจตนเอง และที่สำคัญที่สุดคือความหนักแน่นและมีสติต่อการแก้ปัญหา เพราะการที่ได้ฟังปัญหาจากคนหลายๆคนภายในวันเดียวเป็นเรื่องที่ดูจะเครียดมาก และน้าเน็กก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้สติแก้ไขปัญหาในแต่ละเรื่องได้และสุดท้ายนี้ผมเชื่อว่ามุมมอง ทัศนคติที่ดี และการมีสตินั้นจะช่วยให้คนในสังคมไทยแก้ไขปัญหาและหาทางออกให้กับตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องให้มาถึงมือ “น้าเน็ก”