จากการที่รัฐบาลได้มีนโยบายมอบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้กับคนไทยที่มีรายได้น้อยทั่วประเทศไทยเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาในด้านต่าง ๆ ที่ผ่านมา ซึ่งในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้นั้น ผู้ถือบัตรสวัสดิการหรือบัตรคนจนจะได้สิทธิในการรับเงินเยียวยาในส่วนใดบ้างนั้นมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ 1.ได้วงเงินในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งสามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการร้านค้าประชารัฐหรือสินค้าธงฟ้า โดยมีวงเงินเป็นจำนวนเงิน 200-300 บาทต่อเดือน ตามเกณฑ์รายได้ของแต่ละบุคคลที่ได้ในตอนแรก 2.ส่วนลดในการซื้อแก๊สหุงต้ม ซึ่งต้องซื้อกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้นโดยสามารถใช้เป็นส่วนลดได้จำนวน 45 บาท ต่อ 3 เดือน 3.ได้รับค่าเดินทางรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟ รถร่วม บขส. และรถไฟฟ้า รวมวงเงินทั้งสิ้นเป็นเงิน 500 บาทต่อเดือน 4.สำหรับผู้สูงอายุจะได้รับเงินพิเศษผู้สูงอายุ ซึ่งจะได้รับรายละ 50 และ 100 บาทต่อเดือน ตามเกณฑ์รายได้ที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ โดยสำหรับเงินส่วนนี้นั้นจะมีการโอนเข้าสู่บัตรคนจน ทุกวันที่ 15 ของทุกเดือน โดยสามารถกดออกมาเป็นเงินสดได้ 5.ได้รับส่วนลดในการชำระค่าน้ำประปา สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไว้กับการประปาในพื้นที่ของตน และต้องมีการใช้น้ำประปาไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด ไว้ คือเดือนละไม่เกิน 100 บาท แต่เมื่อบิลค่าน้ำประปามีการเรียกเก็บผู้ถือบัตรต้องสำรองจ่ายเงินสดไปก่อน จากนั้นระบบจะบันทึกข้อมูลไว้ และโอนเงินสดกลับมาเข้าสู่บัตรสวัสดิการโดยเร็ว แล้วผู้ถือบัตรก็สามารถนำบัตรไปกดเงินสดมาใช้ได้นั่นเองค่ะ 6.ส่วนลดในการชำระค่าไฟฟ้า ผู้ถือบัตรสวัสดิการที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดก็คือ ไม่เกิน 230 บาทต่อเดือน เมื่อมีรอบบิลเรียกเก็บให้ชำระเงินก่อนเช่นเดียวกับค่าน้ำประปา แล้วระบบจะทำการบันทึกลงระบบ แล้วโอนเงินคืนแค่ผู้ถือบัตร 7.ได้รับเงินคืนภาษี 5% ของยอดเงินที่มีการใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ นั่นคือหากผู้ที่ถือบัตรคนจนนำบัตรสวัสดิการไปรูดซื้อสินค้ากับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ร้านค้าดังกล่าวก็จะเก็บรวบรวมยอดไว้ในแต่ละเดือน และมีการคืนเงินให้ 5 % ของยอดที่จ่ายไปโดยสามารถได้เงินคืนจากส่วนนี้ได้มากสูงสุดถึง 500 บาท ซึ่งสามารถกดออกมาเป็นเงินสดได้ค่ะ 8.เงินเยียวยาโควิด-19 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลมีการประกาศมอบเงินเยียวยาแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการเป็นจำนวนเงิน 1,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 แต่หากยังไม่ได้รับจะมีการโอนให้ย้อนหลัง ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากนโยบายเยียวยาในรอบก่อนหน้านี้นั่นเองค่ะ ขอบคุณภาพประกอบบทความจาก ภาพที่1/ภาพที่2/ ภาพที่ 3/ภาพที่4/ภาพที่5/ภาพที่6/ภาพที่7/ภาพที่8/ภาพที่9