พูดถึงอินเดีย หลายคนนึกถึงอะไร ?สีสัน ส่าหรี วัว กลิ่นเหม็น สกปรก เสียงแตร เสียงดัง วรรณะ ฯลฯ เมื่อก่อนประเทศอินเดียสำหรับแมวเหมี๊ยวบอกได้เลยว่าไม่เคยคิดที่จะไปด้วยซ้ำจะเรียกได้ว่าค่อนข้างปิดใจเลยก็ว่าได้ เหตุผลเพราะ สมัยเด็กเรารับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศนี้ไม่ค่อยเยอะบวกกับภาพที่จินตนาการตามคำบอกเล่า ไม่ได้เป็นภาพที่เป็นจริงแต่พอมาถึงตอนนี้ ประเทศอินเดียเรียกได้ว่าถือเป็นประเทศต้นๆที่มีสถาปัตยกรรม ศิลปะ วัฒนธรรมที่เรียกได้ว่า "โคตรสวย" จากการที่เราเห็นคนหลายๆคนรีวิวประเทศนี้ พอเรามองเห็นเราก็เริ่ม "หลงรัก" และเริ่มอยากไปจริงๆสักครั้ง เพื่อนและพี่ที่รู้จักหลายคนที่เคยไปใช้ชีวิตที่อินเดียมา หลายคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อินเดียถ้าไม่รักก็เกลียดเลย หลายคนอาจจะยังมีทัศนคติบางอย่างที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับประเทศนี้ แต่พอเราฟังหลายคนที่ไปสัมผัสชีวิตมาจริงๆ อินเดียถือว่าเป็นประเทศที่มีสีสันไม่น้อยเลยก็ว่าได้เพราะส่วนมากตอนแรกจะส่ายหน้าหนี แต่พออยู่ไปก็จะรู้สึก "รัก" วันนี้เลยหยิบยกหนังสือชื่อว่า "อย่าด่าอินเดีย" เป็นบันทึกชีวิตของนักข่าวหนุ่มที่ยอมออกจากคอมฟอร์ต โซนลาออกจากงานที่มั่นคง บินลัดฟ้าไปใช้ชีวิตที่เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย เพราะมีปมในใจกับเรื่องภาษาที่เปรียบเหมือนความด่างพร้อยในชีวิต เลยต้องการไปเรียนภาษาอังกฤษที่นั่นและก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสัมผัสวัฒนธรรมใหม่ที่เคล้าน้ำตา ปนความสนุกได้อย่างลงตัว (แค่หน้าปกก็ดูบันเทิงแล้ว) ชื่อ "อย่าด่าอินเดีย" ถูกตั้งมาเพราะ จะบอกเป็นนัยๆว่า อย่าเพิ่งด่าก่อนจะรู้จัก (เหมือนเราในตอนแรก)เพราะมีหลายคนที่เคยมองอินเดียในมุมมองลบ เพียงเพราะไปฟังคนอื่นมา หรืออาจเจอเหตุการณ์ไม่โดนใจตัวเองแค่ครั้งเดียว พอได้ยินได้ฟังก็อยากจะด่า แต่ถ้าเกิดเราเปิดใจจะเห็นได้ว่า "มุมน่ารัก" ก็มีนะ ทำไมถึงหยิบยกหนังสือเล่มนี้มาคุย เพราะหลังจากที่เปิดอ่านในหลายๆหน้าก็เหมือนกับเราได้เปิดประสบการณ์ไปพร้อมๆกับคนเขียน เรื่องราวทั้งหมดบันทึกชีวิตจริงของคนที่ไปใช้ชีวิตจริง ไม่ต้องพึ่งแสตนอิน สิ่งที่เราได้จากจากคนที่ไปคลุกคลีมาเป็นปีๆทำให้เรามองเห็น "สีสัน" ของอินเดีย ที่ส่งผ่านตัวอักษร ผสานการเล่าเรื่องแบบสนุก ก็ทำให้เราหลงเสน่ห์ไปโดยปริยายเลยทำให้อยากจะหยิบยกในมุมของสีสันของอินเดียที่ถูกกล่าวในหนังสือเล่มนี้มาเล่าสู่กันฟัง ให้บันเทิงใจกันหน่อยเผื่อบางคนอาจจะสนใจอยากไปสัมผัสอินเดีย หรือสำหรับคนมีฝันอยากไปใช้ชีวิตสักครั้งที่อินเดีย เมืองปูเน่ (Pune) เป็นเมืองเล็กๆที่คนอาจไม่ค่อยรู้จัก เป็นเมืองที่จะถูกกล่าวในเรื่องนี้ เพราะเป็นเมืองที่ผู้เขียนเลือกไปเรียนต่อและเป็นประเทศที่จะเปิดประสบการณ์ทางวัฒนธรรมได้อย่างดีเยี่ยม ปูเน่ ตั้งอยู่ในรัฐมหาราษฎร์ (Maharashtra) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของอินเดียและเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐมหาราษฎร์ รองจากเมืองมุมไบ (Mumbai) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐปัจจุบันปูเน่กลายเป็นเมืองศูนย์กลางสำคัญทางด้านธุรกิจและการศึกษาและได้ชื่อว่าเป็น "ออกซฟอร์ดแห่งตะวันออก"เพราะเป็นที่ตั้งของมหาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง (ข้อมูลจาก : learningpune และ wikipedia) (ภาพแผนที่ปูเน่ : buddhadharmbox.blogspot.com) เรามาดูสีสันแรกของอินเดียในเมืองปูเน่ เริ่มจากความเข้าใจพื้นฐานเรื่องภาษากายในการตอบ"ใช่,โอเค" หรือ "ไม่ใช่,ไม่เอา" การส่ายหน้า เอียงศีรษะไปมา ยิ้มน้อยๆ แปลว่า "โอเค" แต่ถ้าไม่โอเค ต้องสั่นหน้าเร็วๆพลางกระดกนิ้วชี้ไปมาว่าไม่เอาๆ วัฒนธรรมตัวนี้อาจสวนทางกับความเข้าใจเราสักหน่อย ฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเวลาไปคุยกับคนอินเดีย ลองสังเกตดีๆบางทีเค้าอาจตอบโอเคกับเราก็ได้ "เสน่ห์ดิบเถื่อนแต่น่ารักของปูเน่อยู่ตรงทุกอย่างรอบตัว ดูมหัศจรรย์ เหนือจริง เหลือเชื่อ และคาดเดาไม่ได้" คุณอาจเลือกซื้อเสื้อผ้าในช็อปบนห้างหรู แต่ด้านนอกเป็นสลัมโกโรโกโสที่ชาวบ้านยังนั่งยองๆขี้ริมถนนแบบหน้าตาเฉย คุณอาจจะนั่งจิบกาแฟนางเงือก โดยมีละอ่อนขอทานยืนแบมือขอทานพลางทำหน้าไร้เสียงสา คุณอาจเห็นหมาพันธุ์ใหญ่ถูกจูงเดินเฉิดฉายบนถนนในย่านคนรวย แต่คนที่จูงนั้นไม่ใช่เจ้าของแต่เป็นคนวรรณะจัณฑาลที่รับจ้างจูงหมาเดินเล่นเท่านั้น หรือแม้แต่คุณอาจจะเห็นเศรษฐีขับรถหรู คันสีทองอร่าม ที่กำลังบีบแตรไล่ฝูงวัวอยู่ก็เป็นได้ ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับที่นี่ ... สีสันบนท้องถนน ปูเน่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีคนใช้รถมอเตอร์ไซค์บนท้องถนนมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลกและมาพร้อมกับวัฒนธรรม "การบีบแตร" อันเลื่องชื่อ ฉะนั้นการขี่มอเตอร์ไซค์ที่เมืองนี้คงต้องระวังพวกชอบเร่งเครื่องบ่อยๆคำพูดขำๆของการจราจรอินเดียที่ว่า Good Horn , Good Brakes and Good Luck - หนึ่ง ต้องบีบแตรให้ดัง เพื่อเอาไว้แข่งดับคนอื่น ไม่มีแตรในอินเดีย อันตรายกว่าไม่สวมหมวกกันน็อก- สอง เบรกที่ดี เพราะที่นั่นจะเจอทั้งคน ทั้งวัว ทั้งรถคันอื่น พร้อมความเอื่อยเฉื่อยที่พบได้ในทุกอณูถ้าสิ่งแวดล้อมบนท้องถนนสามารถเปลี่ยนใจได้ภายใน 1 วินาที เบรกก็ต้องทำงานรวดเร็วดั่งใจคิดเช่นกัน- สาม คุณต้องมีโชค เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ก็ได้แต่หวังโชคจะช่วยให้เดินทางถึงที่หมายโดยปลอดภัยเพราะระหว่างทางนั้น ถึงเราจะระวัง แต่ถ้าคนอื่นไม่ระวัง วัวไม่ระวัง ก็ต้องระวังตัวเองโดยการขอพรให้โชคดีนี่แหละ สีสันใบกะเพรา หรือ ตุลซี่ (Tulsi) เป็นภาษาฮินดี คำว่า ตุลซี่ หมายถึงเลิศเลอหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งชาวฮินดูถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงใช้บูชาเทพเจ้าทั้งในตอนเช้าและเย็น โดยตุลซี่จะมีสองแบบ คือแบบที่มีใบสีเข้ม เรียกว่า Shyama tulsi และใบที่มีสีอ่อนเรียก Rama tulsi ทั้งสองแบบจะใช้บูชาเทพเจ้าเป็นหลักและ แบบ Shyama tulsi จะมีสรรพคุณทางยาที่ยอดเยี่ยม ในครอบครัวชาวฮินดู มักจะปลูกตุลซี่ไว้ในบ้าน ใบตุลซี่ไม่สามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปโดยเฉพาะในแผงผักจะไม่มีเลย จะมีขายเฉพาะที่ร้านขายดอกไม้สำหรับบูชาเทพเจ้าเท่านั้น ส่วนมากมักอยู่ใกล้วัด ราคาไม่แพง (อ้างอิงข้อมูล : indian-way-of-life) (ภาพประกอบ กระเพราในฐานะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์รูปปรากฏของนางวฤนทา : th.wikipedia) ในอย่าด่าอินเดียพูดถึงเรื่องกะเพราว่า "ที่นั่นสามารถหาซื้อใบกะเพราได้จากแผงขายดอกไม้เพราะใบกะเพราที่นั่นมีไว้สำหรับบูชาเทพเจ้า ซึ่งจะต่างจากเราที่มีไว้กิน กะเพราที่นั่นใบเล็กกลิ่นแรง ถ้าเกิดจะเอามาผัดกะเพรากินต้องระวัง เพราะเคยมีนักเรียนไทยบางคนผัดกะเพรากลิ่นคลุ้งไปเตะจมูกข้างห้องจนเค้าต้องมาเคาะประตูด่า" เรื่องราวที่หยิบยกมาเล่าสู่กันฟังนี้อาจจะเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของสีสันอินเดียในเมืองปูเน่ แต่ยังมีเรื่องราวอีกเยอะที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ ทุกอย่างล้วนเป็นสีสันของชีวิตอย่างน้อยก็น่าจะทำให้หลายคนลองเปิดใจ กับวัฒนธรรม สังคม ที่ต่างจากเรา ถึงแม้จะไม่ได้นำไปใช้แต่อย่างน้อยรู้และเข้าใจ ก็จะได้ไม่พลั้งปากเผลอด่าไปก่อน ที่จะเปิดใจรับมัน ^^