ขึ้นชื่อว่าองค์กรนั้นแสดงถึงความยิ่งใหญ่ที่มีมานาน อยู่แบบครอบครัวใหญ่ แต่เป็นครอบครัวการงาน ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราใช้ชีวิตอยู่ที่ทำงาน เกือบครึ่งหนึ่งของชีวิต หรือค่อนชีวิตก็ว่าได้ บางคนเริ่มเข้าไปอยู่ในองค์กรตั้งแต่จบใหม่ จนกระทั่งมีครอบครัวไปถึงปลดเกษียณ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าบ้านหลังใหญ่ หรือครอบครัวใหญ่นี้ ให้ความอบอุ่น ให้ชีวิตและความมั่นคง รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างกับเรา แต่ทุกอย่างอยู่ที่โอกาสของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน บางคนอาจมีโอกาสแสดงศักยภาพให้กับคนในองค์กรได้เห็น ซึ่งอาจทำให้เขาเหล่านั้นมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี และแตกต่างกันไปตามความสามารถ จึงทำให้เกิดความสำเร็จ ในหน้าที่การงานที่แตกต่างกัน ความเติบโตในองค์กรก็อยู่ที่ประเพณีปฏิบัติที่สืบต่อกันมา แต่องค์กรที่ใหญ่โตที่มีอายุกว่าหลายสิบปี จะมีธรรมเนียมการนับถือกันตามอาวุโส ซึ่งข้อเสียจะทำให้เกิดการเติบโตได้ยาก เพราะความสามารถและศักยภาพไม่ได้เป็นตัวหลัก ในการชี้วัดในตำแหน่ง แต่อยู่ที่อาวุโสก่อนและหลัง องค์กรที่เป็นแบบนี้ อาจมีข้อเสียตรงที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เกิดการพัฒนาตนเอง ที่จะมีผลทำให้องค์กรเติบโต เพราะจะคิดว่าพัฒนาไปก็เท่านั้น ไม่ได้ทำให้ตนเองเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน เพราะอยู่ที่ระบบอาวุโสเป็นหลัก ด้วยเหตุด้งกล่าว จึงทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถเติบโตได้ แม้จะมีความสามารถและมีศักยภาพมากกว่าในบางเรื่อง ถ้าไม่รวมประสบการณ์การทำงาน อีกทั้งความคิดที่ต่างกันระหว่างผู้บริหารรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่ค่อยยอมรับซึ่งกันและกัน จึงเป็นการยากที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาองค์กร ให้มีประสิทธิภาพให้เป็นไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ส่วนบริษัทของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเป็น start up เกิดขึ้นจากผู้บริหารจะเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งการบริหารและวิธีการก็ใช้เทคโนโลยีในการช่วยให้การทำงาน เกิดการกระชับและรวดเร็ว ทำให้บริหารงานได้ง่าย และตัดสินใจได้รวดเร็ว ดังนั้นหากเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบการแสดงออกทางความคิด การแสดงศักยภาพ ควรทำงานกับบริษัทที่เติบโตระดับปานกลาง มีพนักงานไม่ถึงร้อยคน จะทำให้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัว ได้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ แต่หากไปสมัครงานในองค์กรใหญ่ ก็ต้องยอมรับในวัฒนธรรมขององค์กรนั้นให้ได้ อย่างน้อยก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำงาน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อที่จะไปต่อยอดในองค์กรอื่น หรือทำในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ โดยใช้ประสบการณ์ที่ได้จากองค์กรใหญ่ ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับองค์กรนั้น ๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หากเราทำงานด้วยความมั่นใจ และมีความสุขในการทำงาน โดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นจะดีหรือไม่ดี ขอให้ทำอย่างมีความสุขในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ก็จะทำให้ชีวิตไปต่อได้ไม่ยากนัก เราจะทำอย่างไรให้มีความสุขในการทำงานทำง่าย ๆ ดังนี้1. สร้างแรงกระตุ้นการทำงาน การสร้างแรงกระตุ้นในการทำงาน คือ การทำตัวให้ตื่นเต้นเละตื่นตัวอยู่เสมอ มีอารมณ์ที่อยากทำงานแม้จะเจออุปสรรค เมื่อเราทำตัวมีความสุขปลอดโปร่งแล้ว เชื่อได้ว่างานนั้นจะสำเร็จไปได้ด้วยดี2. มองสิ่งรอบตัวให้เหมือนละคร ทุกวันนี้การใช้ชีวิตของมนุษย์เรา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรืออยู่กับครอบครัว ก็เหมือนการแสดงในโรงละครโรงใหญ่ ซึ่งเราก็เป็นตัวแสดงหนึ่งในละครนั้น เราควรมองให้เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ว่าในสังคมของมนุษย์ย่อมมีดีและมีไม่ดี มีมืดและมีสว่าง มีคนดีและมีคนไม่ดีปะปนกันไปรอบตัวเรา ควรทำความคิดเป็นบวก และทำตัวสบาย ๆ เบา ๆ โปร่งโล่งสบายในการทำงาน อะไรที่ไม่ดีก็ให้มันผ่านตัวเราไป เหมือนสายลมที่พัดผ่านกระทบผิวเราแล้วก็ผ่านไป ถ้าคิดเช่นนี้แล้ว ชีวิตเราก็จะมีความสุขในการทำงาน 3. มิตรภาพให้กับผู้ร่วมงาน ซึ่งแน่นอนการทำงานในองค์กร ย่อมมีเพื่อนร่วมงานที่ดี และผู้ร่วมงานที่ไม่ดี ปะปนอยู่ในสังคมการทำงาน เราอาจจะเลือกคนที่เหมาะกับเรา และนิสัยคล้ายกับเราไว้คอยคุยปรึกษาเรื่องปัญหาการทำงาน ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นแม้จะไม่เหมาะกับเรา เราก็สามารถพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน และปรึกษาในเรื่องการแก้ไขปัญหาในการทำงาน ซึ่งแสดงถึงการมีมิตรกับเพื่อนร่วมงานทุก ๆ คน โดยไม่ใช้อคติว่าคนนี้เราชอบและไม่ชอบ ซึ่งจะทำให้เราทำงานแบบไม่มีความสุขเท่าที่ควร ทุกคนมีส่วนดีและส่วนไม่ดี แต่ส่วนดีของเขาที่เป็นประโยชน์กับเรา ไฉนเลยเราจะไม่ใช้ประโยชน์ตรงนั้น4. แบ่งปันความสุขหรือสิ่งของให้กับผู้ร่วมงานในโอกาสต่าง ๆ สิ่งที่มนุษย์ชอบที่สุด คือ เรื่องกิน เพราะฉะนั้นการให้ลาภกับผู้ร่วมงาน ลาภในที่นี้หมายถึงของฝาก ของกินที่จะผูกมิตรกับผู้ร่วมงาน สำหรับการให้นั้นควรให้โอกาสต่างๆ ถึงแม้จะไม่มาก อย่างน้อยก็เป็นสินน้ำใจ การให้ทำให้เรามีความสุข โดยไม่ต้องคำนึงว่าให้ไปแล้วใครจะคิดอย่างไร คิดเสียว่า ให้แล้วก็แล้วไป และก็ปล่อยวาง5. นัดพบปะพูดคุยกับผู้ร่วมงานนอกสถานที่ เช่น การไปทานข้าวบ้างตามโอกาส บางทีการทำงานในบางครั้ง ก็จะเคร่งเครียดกับการงาน จนไม่มีเวลาคุยเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอื่น ๆ นอกจากงาน ซึ่งในการคุยจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อาจจะไปสังสรรค์กันบ้างตามโอกาส อย่างน้อยอาจมีปัญหาที่จะสอบถามเรื่องงานที่ไม่เข้าใจ ซึ่งอาจจะได้รับวิธีการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง การทำงานอย่างมีความสุขในองค์กรใหญ่ หากเราปล่อยวางทำตัวสบายๆ ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใคร ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ โดยเน้นการคิดบวกจะสร้างแรงบันดาลใจ ที่จะทำให้เกิดสิ่งดี ๆ ในชีวิต ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างมีความสุข การสะสมความรู้และประสบการณ์ เค้นความสามารถและศักยภาพให้ออกมามากที่สุด และหมั่นเพิ่มเติมทักษะ และการพัฒนาศักยภาพในการทำงานอยู่สม่ำเสมอ พยายามหาโอกาสเข้าอบรมสัมมนาตามที่องค์กรจัด หากมีใบประกาศในการอบรมก็ยิ่งดี เพื่อเก็บไว้ใช้ในการเติบโตในองค์กรนั้นหรือองค์กรอื่น อีกทั้งการอบรมเราจะพบปะเพื่อนร่วมงานหลายแผนก จะช่วยให้เรามีมิตรเพิ่ม และสร้างมิตรภาพ หากเราแสดงออกซึ่งศักยภาพในการแสดงออกในการอบรม ซึ่งศักยภาพนี้หน่วยงานอื่นต้องการ และเราอาจจะได้ทำให้หน่วยงานที่ตรงกับศักยภาพของเราที่มีอยู่ ซึ่งกล่าวได้ว่าการอบรมก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่เราจะได้แสดงออกซึ่งศักยภาพในด้านอื่น ๆ แม้ไม่เกี่ยวกับงานที่ทำ ศักยภาพนั้นอาจจะตรงกับหน่วยงานอื่น ที่เขายังขาดคนที่มีความรู้ความสามารถ และเขาอาจต้องการ ดังนั้นการที่เราอบรมเราจะได้ทั้งมิตรภาพต่างหน่วยงาน ทั้งยังสามารถประสานงาน กับหน่วยงานนั้นได้อย่างราบรื่นได้อีกด้วย ทั้งยังเพิ่มทักษะการเรียนรู้ในการทำงาน ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ล้วนแต่เป็นประโยชน์กับตัวเราทั้งสิ้น ไม่แน่ว่าเราจะเป็นนักรบมือทองขององค์กรนั้นก็ได้ ขอบคุณภาพจาก Pixabay ภาพปก ภาพประกอบ ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 /ภาพที่ 3 /ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !