อื่นๆ
อยากลงทุน แต่เงินไม่เยอะ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่เงินเดือนน้อย อยากลงทุนจะทำอย่างไร
อยากลงทุน แต่เงินไม่เยอะ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่เงินเดือนน้อย อยากลงทุนจะทำอย่างไร
หลายคนหลังจากเรียนจบ ก็อยากหางานทำ หาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัว บางคนเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะไม่ได้ร่ำรวย เข้าสมัครทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน เงินเดือนก็น้อย แต่อยากลงทุน อยากมีอิสระภาพทางการเงิน อยากทำธุรกิจแต่เงินไม่พอ แล้วจะทำยังไงหละ? การลงทุนในหุ้นก็เป็นวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ การลงทุนในหุ้นก็เปรียบเสมือนเราเป็น "เจ้าของกิจการ" แล้วเราได้ประโยชน์อะไรจากหุ้นบ้าง? การลงทุนในหุ้นเราจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผลจากการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน และจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงสิทธิในการออกเสียงของบริษัทในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ด้วย แล้วเงินเดือนแค่น้อยเดียวจะพอหรอ? เราก็ลงทุนแบบที่เรียกว่า "การออมหุ้น" ค่อย ๆ ซื้อสะสมไปเรื่อย ๆ วางแผนสร้างผลตอบแทนในระยะยาว แล้วถ้าลงทุนไปแล้วจะขาดทุนไหม? แน่นอนครับราคาหุ้นจะมีการปรับขึ้นลงตามผลกระทบทางเศรษฐกิจ ผลตอบแทนบางครั้งก็ไม่ค่อยแน่นอน ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานตามนโยบายของบริษัทเป็นความเสี่ยงในการลงทุน เราควรที่จะศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบก่อนที่จะลงทุน เลือกบริษัทที่เติบโตได้และให้ผลตอบแทนที่สูง
Advertisement
Advertisement
สิ่งแรกคือเราต้องวางแผนก่อนว่าเราจะลงทุนเพื่ออะไร เราจะต้องตั้งเป้าหมายเอาไว้ให้ชัดเจน เช่น การเก็บเงินเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ การเก็บเงินเพื่อซื้อรถ การเก็บเงินเพื่อให้พอใช้ในหลังเกษียณ เป็นต้น เมื่อเรารู้จุดมุ่งหมาย เราก็มาดูตัวเราก่อนว่าเราลงทุนไหวเท่าไหร่ต่อเดือน และรับความเสี่ยงได้แค่ไหน เราลองตรวจสอบตัวเองได้ที่ ตรวจสอบสุขภาพทางการเงิน และลองคำนวณได้จากดูว่าเราจะต้องเพื่ออะไร ผลตอบแทนเท่าไหร่ ออมเท่าไหร่บรรลุเป้าหมาย
สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา เราควรที่จะเก็บเงินให้ได้อย่างน้อยประมาณ 10%-15% ของรายได้ของเราในแต่ละเดือน ตัวอย่างเช่น ถ้าสมมติว่าเรามีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน เราควรที่จะเก็บให้ได้อย่างน้อย 1,500 บาทต่อเดือน ซึ่งเราอาจจะไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เติบโตได้สูงแต่มีความเสี่ยงสูง หรือผลตอบแทนไม่มากแต่เสี่ยงต่ำก็ได้ แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน เพราะแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน
Advertisement
Advertisement
การออมหุ้นในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ช่วยให้เราลดความเสี่ยง ถ้าเรามีเงินไม่เยอะ เราก็ค่อย ๆ ลงทุนไปเรื่อย ๆ เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี หาจังหวะซื้อในราคาที่ต่ำ หรือจะเลือกการลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) หรือลงทุนแบบเฉลี่ยเพื่อตัดอารมณ์ในการซื้อ ค่อยสะสมไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องเร่งรีบ มองการเติบโตและผลตอบแทนในระยะยาว แต่การลงทุนหุ้นก็มีขั้นต่ำ เราต้องซื้อย่างน้อย 100 หุ้นขึ้นไป เราก็ควรเลือกหุ้นที่ราคาเหมาะสมกับเงินลงทุนของเรา เช่น ถ้าเราจะสามารถซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท เราจะต้องมีเงินขั้นต่ำ 1,000 บาท ถึงจะสามารถซื้อในขั้นต่ำได้ การเปิดบัญชีที่จะซื้อหุ้นเราสามารถเลือกโบรกเกอร์ได้ ให้เลือกโบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำได้ก็จะดีเพราะเรามีเงินน้อย สามารถศึกษารายละเอียดการเปิดบัญชีได้ที่ เตรียมพร้อมก่อนเปิดบัญชี
Advertisement
Advertisement
หุ้นพื้นฐานดี ปันผลสูง ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เราต้องมองธุรกิจที่เราจะลงทุนว่าจะเติบโตได้แค่ไหน หรือว่าตอนนี้เติบโตได้แล้วอีกยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าธุรกิจนี้จะยังอยู่และสร้างผลตอบแทนให้เราได้หรือไม่ เพราะเราลงทุนในระยะยาว ต้องมองอนาคต และมองบริษัทว่ามีความมั่นคงดีหรือไม่ มีนโยบายบริษัทเป็นเป็นอย่างไรบ้าง การเติบโตและผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ลองไปดูงบการเงินย้อนหลังของบริษัทเหล่านั้นดูว่าเป็นไปในทิศทางใด เมื่อเจอวิกฤติเข้ามาแล้วบริษัทจะยังแข็งแกร่งอยู่ไหม แต่บางครั้งผลการดำเนินงานย้อนหลังอาจจะเติบโตแต่ก็ไม่ได้บอกว่าบริษัทนั้นจะเติบโตได้ในอนาคตเสมอไป ให้ให้ดูหลาย ๆ ด้าน สิ่งเหล่านี้ต้องศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ หุ้นพื้นฐานดีช่วยให้เราสร้างผลตอบแทนได้สูงแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนกับผู้ลงทุนได้
เราลองมาพิจารณาดูว่าหุ้นตัวไหนที่จ่ายผลตอบแทนให้เราได้มากหรือน้อยเท่าไหร่ เราจะต้องดูจากอัตราเงินปันผลตอบแทน "Devidend Yield" เป็นอัตราส่วนที่เทียบระหว่างเงินปันผลต่อหุ้น "Dividend per Share" กับราคาหุ้น "Price" แล้วคิดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์
ยกตัวอย่าง
- หุ้นบริษัท AAA จ่ายเงินปันผลที่ 1 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นปัจจุบัน 10 บาท
- หุ้นบริษัท BBB จ่ายเงินปันผลที่ 5 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นปัจจุบัน 100 บาท
เราจะเลือกลงทุนบริษัทไหนดีถึงจะคุ้ม แน่นอนครับ ต้องเลือกบริษัท AAA เพราะถ้าดูเหมือนว่าบริษัท AAA จะจ่ายปันผลน้อยกว่าก็จริง แต่เมื่อลองเทียบกับราคาหุ้นแล้ว บริษัท AAA จะมีอัตราเงินปันผลตอบแทน 10% สูงกว่า บริษัท BBB ที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน 5%
อย่างไรก็ตามการเลือกหุ้นที่ปันผลสูงก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป ควรที่จะดูปัจจัยอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ถ้าบริษัทปันผลสูงเกินงบประมาณที่จะนำไปขยายธุรกิจก็อาจจะน้อยอาจทำให้เติบโตช้าก็เป็นไปได้ ควรศึกษาตัวแปรหลาย ๆ ด้าน เช่น การปันผลสม่ำเสมอ ลักษณะธุรกิจเติบโตได้ในอนาคต โอกาสในการเติบโต การเติบโตเทียบจากผลประกอบการในอดีต ความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ มูลค่าของราคาหุ้นไม่สูงเกินไป ความแข็งแกร่งทางการเงิน แนวนโยบายของบริษัท แม้กระทั่งธรรมาภิบาลของผู้บริหาร เป็นต้น สำคัญคือเราต้องหมั่นศึกษาข้อมูลอยู่เรื่อย ๆ และมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ค่อย ๆ สะสม ไปทีละน้อย ในอนาคตก็อาจจะเติบโตเป็นจำนวนเงินที่มาก เพียงพอสำหรับที่เราวางแผนไว้ได้
ภาพหน้าปกจาก : eko pramono / Pixabay
ภาพจาก : mohamed Hassan / Pixabay
ภาพจาก : Free-Photos / Pixabay
ภาพจาก : Mediamodifier / Pixabay
ภาพจาก : ผู้เขียน
ความคิดเห็น