“หากน้ำปิงไม่ไหลย้อน จักไม่ขอเหยียบนครเชียงใหม่” (อมตะวาจาครูบาเจ้าศรีวิชัย) ธรรมสวัสดีครับ....ท่านนักเที่ยวสายบุญทั้งหลายวันนี้ผู้เขียนมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่นักเที่ยวสายเก็บบุญทั้งหลายอีกแห่งหนึ่งที่อยากให้ท่านได้แวะเมื่อมีโอกาสผ่านไปผ่านมา...ใช่ครับประโยคเริ่มเรื่องที่ผู้เขียนนำเสนอไปนั้นเป็นคำพูดหรือเรียกว่าเป็นอมตะวาจาของครูบาเจ้าศรีวิชัยเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่เป็นคำพูดที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้กล่าวกับหลวงศรีประกาศ ในช่วงที่ท่านได้เป็นองค์นำสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ โดยถูกกลั่นแกล้งอะไรประมาณนี้หละครับ (ซึ่งหากท่านอยากทราบรายละเอียดอื่น ๆ หรืออัตตชีวประวัติของท่านลองเข้าไปดูบทความที่ผู้เขียนเคยนำเสนอเรื่อง โฮงนิทัศน์ครูบาเจ้าหรืออาจจะเข้าเยี่ยมชมสถานที่จริงที่เป็นที่พระราชทานเพลิงศพครูบาเจ้า และเป็นที่ตั้งโฮงนิทัศน์ครูบาเจ้าได้ที่วัดจามเทวีลำพูนนะครับ) เอาหละครับพูดมาซะยืดยาวมาดูกันว่าวันนี้ผู้เขียนจะนำเสนอถึงสถานที่ที่ไหน อย่างไรบ้าง สถานที่ที่ผู้เขียนจะนำเสนอในวันนี้คืออนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยครับ ตั้งอยู่ที่ ตำบลริมปิง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน (เชิงสะพานศรีวิชัยอนุสรณ์) ทางเชื่อมต่อระหว่างอำเภอหางดงจังหวัดเชียงใหม่เข้าสู่เขตอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน การเดินทางไม่ยากครับหากท่านมาจากตัวเมืองจังหวัดลำพูน ตรงมาทางเดียวกับโรงพยาบาลลำพูนเลยโรงพยาบาลมาท่านจะพบกับอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยเด่นสง่าองค์สีทองบนฐานยกสูงอยู่ข้างสะพานทางด้านขวามือ นั่นหละเข้ามากราบขอพรได้เลย จุดแรก เมื่อเข้ามาจะพบกับศาลาอำนวยการครับ ศาลาอำนวยการจะมีการจำหน่ายดอกไม้ ธูป เทียน แก่ท่านที่ไม่ได้เตรียมมาเองเพื่อใช้สักการะกราบขอพรครูบาเจ้าศรีวิชัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณอาณาเขตนั้น จุดที่สอง อนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยจัดสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงคุณงามความดีของครูบาเจ้า ซึ่งท่านเป็นพระนักพัฒนา ทำคุณประโยชน์มากมายให้แก่พระศาสนา-สังคม ที่เห็นได้ชัด คือ ท่านเป็นผู้นำสร้างถนนทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพครับ ท่านเป็นชาวบ้านปาง ตำบลลี้ จังหวัดลำพูน เป็นพระนักพัฒนาซึ่งจากการเล่าขานว่า ท่านคือ พระโพธิสัตว์ที่มาบำเพ็ญบุญเพื่อจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2482 ขณะอายุ 60 ปี พรรษา 39 แต่ถึงกระนั่นก็ตามคนทางภาคเหนือก็ยังคงให้ความเคารพในคุณความดีของท่านไม่เคยเสื่อมคลาย (โดยเฉพาะผู้เขียนนับถือมาก ๆ ) ทราบว่ามีการพระราชทานเพลิงศพแล้วอัฐิของท่านยังได้มีการแบ่งไปบรรจุในสถานที่ (วัด) สำคัญต่าง ๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้เข้ากราบสักการะ เท่าที่ผู้เขียนทราบได้แบ่งออกเป็น 7 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 บรรจุที่ วัดจามเทวี จ.ลำพูน ส่วนที่ 2 บรรจุที่ วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่ ส่วนที่ 3 บรรจุที่ วัดพระแก้วดอนเต้า จ.ลำปาง ส่วนที่ 4 บรรจุที่ วัดศรีโคมคำ จ.พะเยา ส่วนที่ 5 บรรจุที่ วัดพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ ส่วนที่ 6 บรรจุที่ วัดน้ำออกรู จ.แม่ฮ่องสอน ส่วนที่ 7 บรรจุที่ วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จ.ลำพูน อนุสาวรีย์แห่งนี้จะมีรูปเหมือนครูบาเจ้าศรีวิชัยสีทองทั้งองค์ ยืนมือขวาถือไม้เท้า ด้านบนจะมีสัปทนสีทองบังแดด โดยรูปเหมือนจะยืนอยู่บนแท่นที่ก่อด้วยอิฐโดยมีบันไดทางขึ้นเพื่อขึ้นไปกราบขอพรหากท่านสังเกตดี ๆ จะพบว่าบริเวณด้านหน้าแท่นบูชาจะมีรูปปั้นเสือตัวเล็ก ๆ ซึ่งมีผู้มีจิตศรัทธานำมาถวายทราบหรือไม่ครับว่าทำไมต้องเป็นเสือ....เอ้า...เฉลยครับ ครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านเกิดปีขาล (เสือ) เป็นปีนักษัตรครับ ผู้ศรัทธาจึงนิยมนำเอารูปปั้นเสือมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสักการะบูชา...ลองดูนะครับหากมาขอพรถ้าประสบความสำเร็จก็ลองหามาถวายดู จุดที่่สาม ศาลาพระศิวะเทพ ตามคติความเชื่อของพราหมณ์-ฮินดูเชื่อว่าพระศิวะเทพเป็นเทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ เป็นเทพผู้ดลบันดาลให้มนุษย์มีความสุข หายจากการเจ็บป่วย หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง และเชื่อว่าหากใครได้มากราบขอพรท่านมักจะให้ความเมตตาเรื่องโชค ลาภ และความร่ำรวยอีกด้วย... มากันให้ได้นะครับหากมีโอกาสผ่านไปผ่านมาผู้เขียนรับรองเลยว่าหากท่านได้แวะแล้วจะประทับใจ และจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง...อิอิ หมายถึงพลังงานบุญครับ เอาหละครับสำหรับวันนี้เท่านี้ก่อนน้า แล้วเอาไว้จะนำเรื่องดี ๆ มานำเสนอใหม่รอติดตามบทความต่อไปนะครับสำหรับวันนี้ธรรมะสวัสดีครับ..... เครดิตภาพทั้งหมดจากผู้เขียน ดร.อาบแสงจันทร์ ต.