“การท่องเที่ยวในอนาคตหน้าตาจะเป็นแบบไหน?” เป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ว่าโลกของเราที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราทุกคน รวมถึง การท่องเที่ยว ที่ต้องปรับตัวเช่นกัน โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบินที่ถือเป็นหัวใจหลัก อย่างที่ทราบกันว่าแต่ละสายการบินทั้งโลกต่างได้รับผลกระทบกันไปตาม ๆ กัน เมื่อกลับมาเที่ยวได้อีกครั้ง การเดินทางโดยเครื่องบินของเราจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง ต้องจ่ายเงินมากขึ้น หรือปฏิบัติตัวเพิ่มเติมกันหรือเปล่า จะขอพาไปหาคำตอบว่าอนาคต และทิศทางธุรกิจการบินหลังยุค โควิด-19 จะเป็นอย่างไรในแบบเข้าใจง่าย ได้ความรู้กันเช่นเคย ผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่นั่งเครื่องบินบ่อย ตามห้างแถวนี้หยอดเหรียญมาหมดแล้ว ไม่ใช่สิครับ..! ก่อนจะพาออกทะเลกลับเข้าเรื่องกันดีกว่า เอาเป็นว่าเป็นคนหนึ่งที่เดินทางโดยเครื่องบินบ่อย จากภาพที่เห็นตอนนี้ทั้งรถโดยสาร , ร้านอาหาร หรือแม้แต่การเดินตามห้างสรรพสินค้าต้องมีการเว้นระยะห่าง Social Distance แน่นอนว่าการเดินทางโดยเครื่องบินย่อมมีการพูดถึงระยะห่างของที่นั่งโดยสาร เริ่มตั้งแต่นั่งที่เว้นที่แบบรถทัวร์ดีไหม หรือจะนั่งกันเป็นคู่ ๆ แบบโรงหนังแล้วเว้นระยะห่างระหว่างแถวแทน แต่จะแบบไหนแน่นอนว่ามันเกิดผลกระทบแน่ ๆ เพราะเครื่องบินมีค่าใช้จ่ายแต่ละเที่ยวสูงกว่ารถทัวร์แน่นอน ทั้งนักบิน , แอร์โฮสเตส , ลำเลียงกระเป๋าภาคพื้น , ช่างเครื่อง , พนักงานขายตั๋ว ฯลฯ แถมยังมีค่าจอดที่สนามบินคิดเป็นนาที ถ้าต้องเว้นที่นั่ง หลับตาจินตนาการว่าเครื่องโลว์คอสต์ ที่นั่งแถวละ 6 นั่งห่างกันรวมเว้นทางเดินจะหายไป 2 เหลือแค่ 4 ที่นั่ง ผู้โดยสารจะหายไปกว่า 33 เปอร์เซ็นต์จากที่นั่งว่าง นั่นหมายถึงกำไรจากค่าตั๋วโดยสารที่เสียไป แล้วราคาจะปรับขึ้นไหม? ผู้โดยสารที่หายไป 33 เปอร์เซ็นต์ หลายคนคิดแบบหยาบ ๆ เลยว่าจากตั๋ว 1,000 บาท จะกลายเป็น 1,330 บาท เกือบจะถูกแล้วแต่ต้องเข้าใจโครงสร้างของราคาตั๋วเครื่องบินกันก่อน หลายคนจองตั๋วเครื่องบินด้วยตัวเองจะทราบดีว่าราคาตั๋วของสายการบินเช่นไปเชียงใหม่ 1,000 บาท จะต้องรวมพวกภาษีสนามบิน , ภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปเบ็ดเสร็จรวมแล้วประมาณ 1,600 บาท ถ้ามีการปรับราคาเพิ่ม 33 เปอร์เซ็นต์จะไปอยู่ที่ 1,000 บาทแรก รวมแล้วสมมุติว่าไปเชียงใหม่ 1,600 บาท จะเพิ่มเป็น 1,930 บาท หรือเพิ่มมา 20 เปอร์เซ็นต์ และจากการที่สายการบินปรับลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เอาโปรโมชันตั๋วราคาถูกที่ปกติจะแข่งกันออก 0 บาทบ้าง 99 บาทบ้าง มาเฉลี่ยต้นทุนให้ถูกลงทั้งลำ ราคาอาจจะเพิ่มขึ้นไปจากเดิมไม่มาก ถ้าถามความรู้สึกผม ราคานี้รับได้นะ และสายการบินไม่ปล่อยให้ราคาแพงกว่าคู่แข่งแน่นอน ความกังวลด้านราคาจะแพงขึ้นจนจับต้องไม่ได้จะไม่เกิดขึ้น จากโครงสร้างราคาด้านบน แน่นอนว่าบรรดาสายการบินต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ โดยเฉพาะ โลว์คอสต์ อาจต้องมีการลดต้นทุนมากขึ้น ปรับลดขนาดองค์กร , ใช้พนักงานบริการบนเครื่องน้อยลง , ราคาตั๋วโดยสารปรับเป็นลักษณะเอาตั๋วที่เคยขายราคาโปร มาเกลี่ยให้ราคาเฉลี่ยกันไปไม่ดูแพงขึ้นจนแข่งขันไม่ได้ ทิศทางธุรกิจการบินจะรวมกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวด้วยกัน จับมือกันออกราคามัดรวมเป็นแพ็กเกจมากขึ้น เช่นซื้อตั๋วโดยสารพ่วงโรงแรมพร้อมส่วนลดราคารถเช่า จากที่เคยเห็นแพ็กเกจลักษณะนี้ในเว็บไซต์เอเจนซี่ เราจะได้เห็นระดับเจ้าของกิจการจับมือกันลงมาเล่นเอง เป็นลักษณะพึ่งพาธุรกิจกันและกันเพื่อดึงลูกค้าให้มาใช้บริการ ทางฝั่งผู้โดยสารอย่างเราต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน แต่เป็นแบบที่เราคุ้นเคยในสถานที่อื่นกันดีอยู่แล้วเช่นมีการตรวจวัดอุณหภูมิตอนเข้าสนามบิน และก่อนขึ้นเครื่อง เมื่ออยู่บนเครื่องบินหลายสายการบินเช่น ANA ของญี่ปุ่นได้ออกประกาศให้ผู้โดยสารทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย หากไม่สวมทางสายการบินสามารถปฏิเสธการขึ้นเครื่องได้* และมีแนวโน้มว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานหรือ New Normal ที่เราต้องปฏิบัติกันเมื่อเดินทางโดยเครื่องบิน จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง แต่จะว่าไปเราก็คุ้นเคยกันแทบจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนะ ขอเพียงอย่าประมาท ถ้าทุกคนช่วยกันจนตัวเลขผู้ติดเชื้อน้อยลงติดต่อกันได้นานเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะได้ใช้ชีวิตกันได้อย่างอิสระจะยิ่งมีมากขึ้น หากการระบาดระลอก 2 เกิดขึ้นไม่สามารถเดินทางได้ ตั๋วเครื่องบินจะมีราคาถูกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เชื่อว่าอีกไม่นานเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี หากเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์อย่าลืมแชร์ลงโซเชียลมีเดียได้ทุกช่องทาง แล้วมาติดตามเรื่องราวดี ๆ แบบนี้กันใหม่ครับ... *อ้างอิงข้อมูลจาก nippon.com : www.nippon.com ภาพประกอบจาก Pixabay ภาพหน้าปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3