อาการปวดหลัง เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว เป็นหนึ่งในอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยมากมักพบในวัยทำงาน และผู้สูงอายุ ส่วนสาเหตุของอาการปวดหลังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุอาทิเช่น การนอนผิดท่า การนั่งผิดท่า การทำท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน ปวดเมื่อยเนื่องจากการออกกำลังกาย อาการปวดหลังที่อาจเป็นอาการบ่งชี้ของโรคบางอย่าง และสำหรับสาว ๆ อาจปวดหลังเนื่องจากสาเหตุของการมาประจำเดือน เป็นต้น ซึ่งจากทั้งหมดที่กล่าวมาหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยในหมู่วัยรุ่น และคนทำงาน คืออาการปวดหลังที่มีสาเหตุมาจากการนั่งผิดท่าเป็นระยะเวลานานนั่นเองค่ะ อาการของแต่ละท่านอาจต่างกัน บางท่านอาจมีอาการปวดเมื่อยธรรมดาเพียงแค่ได้ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยอาการก็จะบรรเทา แต่สำหรับบางท่านอาจปวดมาก ปวดหลังเรื้อรังจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรืออาจทำให้ความสามารถบางอย่างบกพร่องไป ดังนั้นหากท่านใดมีอาการในลักษณะดังกล่าวนี้แนะนำให้พบแพทย์เพื่อทำการรักษาจะดีที่สุดด้วยเหตุนี้เองในบทความนี้เราจึงได้รวบรวม 7 ท่านั่งที่อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง มาฝากเพื่อน ๆ ทุกท่านค่ะ จะมีท่านั่งท่าไหนบ้าง แล้วจะเป็นท่าประจำของเพื่อน ๆ รึเปล่า มาเริ่มกันที่ท่านั่งท่าแรกเลยค่ะ... หยุดท่านั่งเหล่านี้ ถ้าไม่อยากปวดหลัง... 1. การนั่งหลังค่อม หรือห่อไหล่มากเกินไปการนั่งในลักษณะนี้อาจเป็นท่านั่งที่เหมือนจะสบายตัว ดูผ่อนคลายจนหลายคนคุ้นชินและติดนั่งหลังค่อมจนเป็นนิสัย แต่ถ้าสังเกตดี ๆ เพื่อน ๆ จะรู้สึกได้เลยค่ะว่าถ้านั่งหลังค่อมนาน ๆ จะมีอาการปวดเมื่อยบริเวณหลังบางครั้งลามลงมายังเอว จนต้องยืดเส้นยืดสายขึ้นมาทันที หากใครรู้ตัวว่าตัวเองนั่งหลังค่อมบ่อย ๆ จนเริ่มมีอาการปวดหลังเราแนะนำให้ลองใช้เสื้อดามหลัง หรือเข็มขัดพยุงหลังดูนะคะ อาจจะช่วยให้หลังตั้งตรงขึ้นและบรรเทาอาการปวดหลังลงได้บ้างค่ะ2. นั่งตัวไหล นั่งไม่เต็มก้นเป็นเวลานานบางคนชอบนั่งในลักษณะที่เหมือนตัวจะไหลลงมาจากเก้าอี้ หรือนั่งเก้าอี้แบบไม่เต็มก้น ซึ่งการนั่งในลักษณะนี้จะทำให้ร่างกายถ่ายเทน้ำหนักไม่สมดุลย์กันทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลังต้องทำงานหนักกว่าปกติ โดยเฉพาะหากนั่งเป็นเวลานานจนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดหลังได้ง่ายนั่นเองค่ะ3. นั่งเอี้ยวตัวหรือเอียงตัวไปข้างใดข้างหนึ่งข้อนี้จากประสบการณ์ตรง เราเคยนั่งเอี้ยวตัวเล่นมือถือเพลินจนรู้สึกตัวอีกทีเหมือนหลังจะเคล็ดเลยค่ะ ต้องค่อย ๆ หันกลับช้า ๆ เพราะเจ็บมาก ดังนั้นเพื่อน ๆ ควรนั่งในลักษณะหน้าตรง ตัวตรง หรือนั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงเพื่อไว้พิงผ่อนคลายเวลาเมื่อยนะคะ และอย่าฝืนเมื่อรู้สึกว่านั่งนานจนปวดหลัง ควรผ่อนคลายร่างกายโดยการเปลี่ยนอิริยาบทบ้างค่ะ4. นั่งก้มเล่นมือถือมากเกินไปในกรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โดยหนึ่งในสาเหตุนั้นมาจากการเล่นโทรศัพท์มือถือนั่นเองค่ะ ซึ่งการก้มหน้าเล่นมือถือเป็นพฤติกรรมที่หลายคนมักทำเป็นประจำและทำเป็นระยะเวลานาน โดยหารู้ไม่ว่ามันส่งผลร้ายต่อสุขภาพ โดยอาการเริ่มต้นอาจแค่เจ็บปวดบริเวณช่วงต้นคอ บ่า เมื่อยหลัง แต่หากนานเข้าอาจมีผลกระทบอื่น ๆ ตามมาอีกหากไม่เรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม5. นั่งไขว่ห้างบ่อย ๆจากที่หาข้อมูลมาเรามองว่าการนั่งไขว่ห้างเป็นเวลานานนั้นเป็นอีกท่านั่งที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมากทีเดียวค่ะ เพราะร่างกายจะถ่ายเทน้ำหนักได้ไม่ดีเท่าที่ควรโดยน้ำหนักนั้นจะมีการถ่ายเทไปด้านใดด้านหนึ่ง จึงถือเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง หรือปวดเมื่อย รวมถึงบางท่านอาจมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ เนื่องจากเลือดไหลเวียนไม่สะดวกอีกด้วย (ขอบคุณข้อมูลเบื้องต้นจาก //ลิงก์//6. การนั่งทับกระเป๋าเงินเราเคยได้มีโอกาสฟังพี่ ๆ ที่ขับแท็กซี่บอกว่าเขามีอาการปวดหลังเรื้อรังมานานทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นั่งทำงานหน้าคอมหรือก้มเล่นโทรศัพท์ จนสุดท้ายมาทราบสาเหตุของอาการปวดหลังเนื่องมาจากนั่งทับกระเป๋าเงินเป็นเวลานานขณะขับรถ ซึ่งวิธีแก้ไข (ในกรณีที่เป็นไม่มาก) ง่าย ๆ เพียงนำกระเป๋าเงินวางไว้ด้านนอก หรือใส่ไว้ในที่ ๆ ไม่มีการนั่งกดทับเท่านี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ค่ะ (อ่านข้อมูลเกี่ยวกับอาการเพิ่มเติม //ลิงก์//)7. นั่งบนเก้าอี้ที่แข็ง ไม่พอดีกับสรีระสุดท้ายสิ่งสำคัญนอกจากจะนั่งหลังตรง ถ่ายเทน้ำหนักอย่างสมดุลย์แล้ว การเลือกเก้าอี้ที่ใช้นั่งก็มีส่วนสำคัญค่ะ เพื่อน ๆ ควรเลือกเก้าอี้ที่นั่งสบาย และเหมาะกับสรีระร่างกาย ไม่ใช่เก้าอี้ที่เตี้ยเกินไป แข็งเกินไปหรือนุ่มเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ข้อมูลที่เรานำมาแนะนำก็จะมีประมาณนี้นะคะ หวังว่าข้อมูลทั้งหมดจะพอเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะตระหนักถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการใช้ชีวิตว่ามันสามารถส่งผลต่อสุขภาพของทุกท่านได้จริง ๆ ขอให้ดูแลรักษาสุขภาพและร่างกายให้แข็งแรงนะคะ ...โชคดี... **หากมีข้อมูลใดผิดพลาดไปขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และท่านใดที่มีการปวดหลังแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุดนะคะ**ภาพปกจาก Pexelsภาพประกอบ : 1. Pexels / 2. Pexels / 3. Pexels / 4. Pexels / 5. Pexels / 6. Pixabay / 7. Pexels