ภาพ - ผู้เขียนพิมพ์ครั้งแรก - ธันวาคม 2562 / สำนักพิมพ์ - หอน / ผู้เขียน - ชาติ กอบจิตติ / ราคาปก 440 บาทจากการเป็นนักเขียน 2 รางวัลซีไรต์ มีผลงานหนังสือมา 17 เล่ม ตลอด 40 ปีนับตั้งแต่ออกหนังสือเล่มแรก สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อหนังสือที่เขาเขียน แบรนด์ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งและปลุกปั้นอย่างขันแข็งมา 3 ปีกว่า ทั้งที่ตัวเองก็อายุขึ้นเลข 6 แล้ว โดยระหว่างทาง เขาได้เขียนเบื้องหลังการทำงานของตัวเองออกมาในรูปแบบความเรียงเป็นตอนๆ เพื่อใช้ทำการตลาดในโซเชียลให้ผู้ติดตามได้อ่านกันฟรีๆ ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2562 ถึง 9 กันยายน 2562 รวม 78 ตอน ก่อนนำข้อเขียนเหล่านั้นมารวมเล่มเป็นผลงานหนังสือลำดับที่ 18 - เล่มล่าสุดของเขาที่ชื่อ เรื่องเล่าแบรนด์ (ของผม)ภาพ - ผู้เขียนผมได้ยินชื่อของ ชาติ กอบจิตติ มานานหลายปี คุ้นอยู่ว่าเคยอ่าน ‘พันธุ์หมาบ้า’ กับ ‘คำพิพากษา’ มาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้จำเรื่องราวในหนังสือแทบไม่ได้ (หรือแท้จริงผมไม่เคยอ่าน แต่มโนไปเองว่าเคยอ่านก็ไม่รู้ - ฮา) พอมาถึง เรื่องเล่าแบรนด์ (ของผม) เขาถ่ายทอดเรื่องราวการสร้างแบรนด์เสื้อผ้า กว่าจะถึงวันนี้ที่มีสินค้าหลายอย่างให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ เช่น เสื้อยืด กางเกงยีนส์ เข็มขัด รองเท้า ซึ่งในมุมมองของเขา ทั้งอาชีพนักเขียนและอาชีพค้าขายต่างมีความโดดเดี่ยวไม่แพ้กัน (หากเขาเป็นนักวิ่งด้วย ผมว่าเขาจะเป็นผู้โดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว)แม้ไม่มีความรู้ในธุรกิจด้านเสื้อผ้า ไม่เคยศึกษาหรือเรียนรู้ธรรมชาติของตลาดในธุรกิจด้านนี้ แต่น้าชาติสามารถสร้างแบรนด์เล็กๆ ที่ไม่ได้มีเงินทุนมากมาย ให้เป็นที่รู้จักและติดตลาดได้อย่างน่าชื่นชม ล้มลุกคลุกคลาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมากับหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้า อาทิ การวางแผนงาน การทำบัญชี การผลิต การบริหาร การจัดการ การตลาด ก่อนนำประสบการณ์ตรงจากเหตุการณ์จริงมาเล่า ถ่ายทอดยุทธวิธี แนวคิด การลงมือปฏิบัติ ปัญหาที่พบเจอและการแก้ไข ความสำคัญของจังหวะและโอกาส การทำงานกับคน (ความเป็นคน) ซึ่งมีการลงรายละเอียดให้เห็นภาพชัดเจน บางเรื่องที่เล่าไม่ได้ก็ต้องละเว้นภาพ - ผู้เขียนน้าชาติเล่าถึงความรู้ที่ก๋งเคยสอน ยกตัวอย่าง – “ความผิดพลาดอย่าให้เกินสามครั้ง”, “ทำการค้าลื้ออย่าไว้ใจใคร”, “คนอื่นเขาหยุด เราทำ เวลามีเท่ากัน”, “คนมือห่างตีนห่าง ทำการค้าไม่ได้”, “เรือจะไป ท่ายังอยู่ ดูให้ดี”, “เป็นหนี้อย่าหนีหน้า”, “ถ้าลื้อจะขยาย (การค้า) ลื้อขึ้นทีละขั้น ตกไม่เจ็บ” รวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของแบรนด์พันธุ์หมาบ้า - แบรนด์เกือบได้ใช้ชื่อ MAD DOGS แทน PhanMaBa, บุคลิกของแบรนด์ที่ถอดแบบมาจากในหนังสือ, ที่มาของชื่อบริษัท (ธันวาพันธ์)และบทเรียนที่น้าชาติได้จากการทำงาน – “อย่าทำของชุ่ยๆ มาขาย เพียงเพราะเห็นแก่เงิน” (ปรัชญาในการทำงาน), “กระสุนเรามีน้อย ทุกนัดต้องมีคนตาย” (หัวใจสำคัญในการสร้างแบรนด์), “ความไว้วางใจ ต้องผ่านการพิสูจน์”, “ทำงานให้ลุล่วงไป โดยไม่มีความประมาท” (เคล็ดลับในการทำการค้า), “ความรู้จะมีประโยชน์ ต่อเมื่อเรามีปัญญานำไปใช้”, “ความปลอดภัยที่ดี คือการป้องกันไว้ก่อน”, “คนเก่งนั้น ถ้าเป็นคนไม่ดี ความเก่งของเขาก็จะเป็นอันตรายต่อเรา”, “เรื่องบางเรื่องต้องเงียบ และรู้จักรอ”ภาพ - ผู้เขียนผมชอบใจที่น้าชาติใช้สรรพนามแทนผู้อ่านว่า “พวกเรา” แทนที่จะใช้คำว่า “คุณ” แบบที่พวกหนังสือประเภทนี้ (เกี่ยวกับการบริหารคน การทำธุรกิจ ฯลฯ) มักชอบใช้กัน (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เพราะไม่เคยอ่านหนังสือประเภทนี้อย่างละเอียดมาก่อน เคยแต่ไปยืนที่ร้านหนังสือแล้วเปิดผ่านๆ ไม่เคยซื้อ ไม่เคยอ่านจบ) การใช้คำว่า “พวกเรา” ทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นกันเอง ช่องว่างระหว่างนักเขียนกับนักอ่านลดลง (แม้ช่องว่างระหว่างวัยจะห่างกันมากก็ตาม - ฮา) ทำให้ผมอยากนับญาติกับเขา และไม่ขัดเขินที่จะเรียกเขาว่า “น้าชาติ” จากที่ผ่านมา แบรนด์พันธุ์หมาบ้าทำการตลาดเฉพาะทางออนไลน์ ฝ่าวิกฤติผ่านด่านหินในช่วงรัฐประหาร ’57 ของบ้านเราพ้นมาได้ ตอนท้ายๆ ในหนังสือเล่มนี้ น้าชาติเล่าถึงแผนงานในปีหน้า (ปี 2563) ว่าจะเริ่มทำโฆษณาออกสู่ภายนอก แต่ (ตอนนั้น) เขาคงไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับด่านหินอีกด่าน เพราะยังไม่รู้จัก ‘โควิด-19’ ซึ่งตอนนี้กำลังเล่นงานเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้ารายเล็กหรือใหญ่ ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าไม่มากก็น้อย และเขาน่าจะต้องปรับแผนงานหลายอย่างที่เคยวางไว้ เช่น การผลิตล็อตใหม่ที่น่าจะต้องชะลอตัวลง การทำโฆษณาที่อาจต้องเลื่อนไปก่อน ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภาพ - ผู้เขียนผมพรีออร์เดอร์หนังสือเล่มนี้ไม่ทัน ก่อนมาซื้อหาได้จากร้านหนังสือซอมบี้บุ๊ค ย่านอาร์ซีเอ (ที่ได้ข่าวว่ากลางปีนี้จะปิดร้านอย่างถาวร และหันมาทำออนไลน์อย่างเต็มตัว) ผมเปิดไปหน้าแรกมีลายเซ็นของน้าชาติด้วย เมื่อผู้เขียนเป็นนักเขียนเก่าที่เก่งฉกาจอยู่แล้ว ได้มาลงมือเขียนเรื่องของตัวเอง หาใช่นักเขียนผีหน้าไหนมารับจ้างเขียนพร่ำร่ำบอกให้พ่อค้าคนนี้ไม่ ทำให้เนื้อหา วิธีการเล่า และสำนวนการเขียนนั้นลื่นไหล ทุกองค์ประกอบลงตัวตลอดทั้งเล่ม อ่านสนุก ให้ทั้งความบันเทิงและสาระ เป็นบทเรียนให้พวกเราสามารถนำมาเรียนรู้และปรับใช้ได้ในชีวิตจริงไม่ว่าพวกเราจะ (สนใจ) เป็นคนทำมาค้าขายหรือไม่ จะเคยรู้จักแบรนด์พันธุ์หมาบ้ามาก่อนหรือเปล่า ถ้าไม่รู้จัก พออ่านเล่มนี้แล้วอาจรู้สึกเหมือนถูกน้าชาติ ‘ป้ายยา’ เพราะจะว่าไป เล่มนี้คล้ายเป็นตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อชั้นดี แอบแฝงมาในรูปแบบของเรื่องเล่าที่ให้แบ็คกราวด์ของแบรนด์พันธุ์หมาบ้า พาลทำให้พวกเราเห็นถึงคุณค่าและความหมายของสินค้ามากขึ้น เผลอๆ จะออกฤทธิ์รุนแรงยิ่งกว่าแค็ตตาล็อกสินค้าจริงหรือหน้าโฆษณาไหนๆ จนพวกเราอดใจไม่ไหว อยากไปหาซื้อสินค้าของแบรนด์นี้มาลองใช้บ้างพันธุ์หมาบ้า ชื่อฟังดูดุร้าย ชวนให้นึกถึงหมาจรจัด พร้อมเห่าขู่และวิ่งเข้ากัดอยู่ตลอด หากไม่ได้เห็นภาพโลโก้แบรนด์อันแสนน่ารักและมีเอกลักษณ์ของน้าชาติ ส่วนหนังสือเรื่องเล่าแบรนด์ชื่อดังกล่าว มีขนาดกำลังดี 400 หน้า ไม่หนาไม่บางเกินไป ผมใช้เวลาอ่านสามคืนจบ และขอยกให้เป็นหนังสือที่ชอบที่สุดที่ได้อ่านในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้.