อันที่จริงคำว่า “อภิสิทธิ์” แปลว่า "ความสำเร็จ" แต่คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้โดยนัยว่า ความมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “privilege” นั่นเอง รวมไปถึงการได้รับสิทธิอื่น ๆ เพิ่มเติมกว้างขวางออกไป เช่น สิทธินอกเหนือขอบเขต สิทธิเหนือกฎหรือระเบียบที่วางไว้ สิทธิที่ได้รับนอกเหนือไปจากกฎหรือระเบียบที่วางไว้ที่คนปรกติทั่วไปต้องทำตามอย่างเคร่งครัด และการจะได้มีอภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษ ก็มักจะอยู่ในแวดวงราชการหรือหน่วยงานระหว่างเทศที่มีพันธกรณีทางกฎหมายเกี่ยวข้องกันเป็นส่วนมาก การที่คนธรรมดาหรือชาวบ้านภาคประชาชนทั่วไปจะมีอภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษนั่นเป็นเรื่องสุดที่จะไขว่คว้า“อภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษ” จึงเป็นเหมือนเครื่องมือมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่พ่อแม่ซึ่งมีฐานะปานกลางค่อนข้างไปทางยากจนที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปปรารถนาให้ลูกได้เรียนสูง ๆ เพื่อจะได้มีงานดี ๆ เป็นระดับผู้บริหารและหากสามารถเป็นข้าราชการได้ถึงว่าวิเศษสุด เพราะสังคมไทยเชื่อว่า ข้าราชการ เช่น ทหาร ตำรวจ ศาล แพทย์ ครู มักจะได้รับอภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ราชการมอบให้ในแต่ละหน่วยงานซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะของงานที่รับผิดชอบและบทบาทหน้าที่นั้น ๆคำว่า “อภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษ” และอาจรวมถึงคำว่า “สวัสดิการ” จึงเป็นคำที่สวยหรูสำหรับครอบครัวที่มีความมุ่งมาดวาดฝันจะได้เป็นข้าราชการ ยิ่งหากมีวาสนาได้เป็นข้าราชการระดับสูงขึ้นไปเท่าไหร่อำนาจของการมีหรือได้รับ “อภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษ” นั้นก็จะมากขึ้นเท่าทวีคูณตามไปด้วย โดยมีการใช้อยู่ 2 นัยคือ (1) คน ๆ นั้นสามารถใช้ได้ทันทีเพราะอาจได้รับอยู่แล้วตามธรรมชาติหรือตามความเชื่อ เช่น กลุ่มพระสงฆ์ กลุ่มนักบวชหรือหัวหน้ากลุ่มความเชื่อ ซึ่งน้อยนักที่จะมีกฎหมายมาเอื้ออำนวยให้ (2) คน ๆ นั้นมีหรือใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายหรือพระราชกำหนดออกมารับรองให้ใช้ได้เท่านั้น ซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและหน่วยงานเอกชนที่เนื่องด้วยภารกิจทางราชการนั้น ๆอย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันดีในสังคมไทยว่า ที่บางอย่างอยู่นอกเหนือกฎระเบียบกติกาและมีข้อยกเว้นได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษนอกเหนือกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้น “อภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษ” จึงถูกใช้อย่างมากในระบบของข้าราชการไทยและหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก รวมถึงองค์กรตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิต่าง ๆ ด้วย ทั้งที่เราทราบและเป็นธรรมเนียมข้อปฏิบัติที่รู้กันเฉพาะคนภายในเท่านั้นการใช้ “อภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษ” ที่เหมาะสม จึงควรตั้งอยู่บนฐานของหลักคิดเพื่ออำนวยความสะดวกให้เป็นประโยชน์โดยมุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ขององค์กร ประเทศชาติและสังคมโดยรวม มากกว่ามุ่งเพื่อประโยชน์ของตน ดังนั้น เมื่อได้รับ “อภิสิทธิ์ สิทธิพิเศษหรือสวัสดิการ” แล้ว จึงควรตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเองที่จะต้องสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับส่วนรวม ให้สมกับการได้รับ หาไม่แล้ว “อภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษ” นั่นแหละก็จะเป็นบ่อโคลนหรือหลุมพรางที่จะดูดดักสร้างหายนะมากกว่าสร้างประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น ขอบคุณ ภาพปก ภาพที่ 1ภาพโดย StockSnapภาพที่ 2 ภาพโดย AkshayaPatra Foundationภาพที่ 3 ภาพโดย sweetyears