ผมเป็นข้าราชการเกษียนในปี 2562 ตลอดเวลาที่ทำงานผมไม่เคยพาภรรยาไปเที่ยวที่ไหนที่เป็นการส่วนตัว ภรรยาผมเขาดีใจมากที่ได้มาท่องเที่ยวทริปนี้ เป็นทริปที่เราวางแผนกันไว้ว่าจะเที่ยวตามที่ธรรมชาติให้ทั่วทุกจังหวัดของภาคเหนือ ผมและภรรยาแบ่งหน้าที่กันว่า ผมจะเป็นผู้ขับรถ และภรรยาจะเป็นคนบอกทาง โดยเธออาศัยการนำทางจาก Google map นี่แหละเป็นหลัก พวกเราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ขับรถกันมาสองคน เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน จอดกันไปเรื่อยๆ จนมาถึงอำเภอวังเจ้า เราก็เริ่มมองหาที่พัก จนกระทั่งได้ที่พักในปั๊ม ปตท. ชื่อว่า Room 18 ในเวลาประมาณสองทุ่ม ห้องพักริมถนนสายหลัก ราคาคืนละ 500 ไม่มีอาหาร แต่ห้องสะอาด น้ำไหลดี นอนหลับสบาย เวลา 06.00 น. พวกเราออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปตามถนนหมายเลข 1 / AH2 / ทางหลวงสายเอเชียหมายเลข 1 ประมาณ 9.2 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 12 ประมาณ 75 กิโลเมตร เมื่อถึงวงเวียน ใช้ทางออกที่ 3 และวิ่งต่อไปถนนหมายเลข 12 ประมาณ 9.5 กิโลเมตร โดยขับตรงไปตลอด จนถึงด่านพรมแดนแม่สอด จังหวัดตาก ในเวลา 08.00 น. ด่านพรมแดนแม่สอด จังหวักตาก เป็นด่านพรมแดนถาวรระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า โดยมีแม่น้ำเมยเป็นเส้นกั้นพรมแดน ผมขับรถลอดใต้สะพานที่ข้ามแม่น้ำเมย หรือสะพานด่านพรมแดนแม่สอดไปจอดรถไว้ตรงข้างทาง ซึ่งอยู่ด้านเดียวกับตลาดริมเมย พวกเราเดินข้ามถนนไปยังริมแม่น้ำเมย ตรงป้ายที่ขึ้นว่า "สุดประจิมที่ริมเมย" ริมแม่น้ำเมยจะเป็นทางเท้าที่มีราวเหล็กกั้นทั้งสองข้างทาง บริเวณจุดเริ่มต้นของทางเดินเท้าจะมีทหารอยู่ 2 นาย เราได้เข้าไปพูดคุยและสอบถามข้อมูลทราบว่า ซ้ายมือนอกราวเหล็กกั้นจะเป็นเขตแดนของพม่า ส่วนขวามือของเราก็จะเป็นตลาดริมเมย ดังนั้นจะเห็นได้ว่านอกราวเหล็กด้านซ้ายมือของเรา (อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเมย) จะมีร้านค้าเล็กๆ ยกพื้นสูงขึ้นมาเท่ากับถนนทางเดิน เป็นของชาวพม่า เดินมาเรื่อยๆ ก็เข้าสู่โซนที่เป็นอาหารสด อาหารแห้ง ผักและผลไม้ เรามาเจอแตงโมพม่า ลูกใหญ่มากๆ เดินมาอีกหน่อยก็เจอปูพม่า "แม่เจ้า ปูม้าอะไรทำไมใหญ่ได้ขนาดนี้" พวกเราเดินชมตลาดกันมาเรื่อยๆ จนร้านสุดท้าย แต่ยังไม่สุดทางเดิน จะมีบ้านเรือนของชาวพม่าที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเมย ด้านที่ติดกับแผ่นดินไทย พวกเราเดินตามถนนทางเท้ามาเรื่อยๆ จนสุดเขตบ้านเรือนของชาวพม่า เริ่มเห็นแม่น้ำเมยกว้างขึ้น มองกลับหลังไปเห็นสะพานด่านพรมแดนแม่สอดอยู่ลิบๆ เรามองเห็นว่า มีผู้คนปะแป้งแบบชาวพม่า มีกระสอบทูนหัวเดินมาตามทางเดินที่พวกเราเดิน พวกเขาเดินสวนทางไปกับพวกเรา เราถามเขาว่า ที่อยู่ในกระสอบนั้นคืออะไร เสียงตอบกลับมาเป็นภาษาไทย สำเนียงพม่าว่า เป็นผัก (อะไรสักอย่าง เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง) ทำให้พวกเราต้องเดินตามถนนเส้นนี้ไปเรื่อยๆ จะสังเกตเห็นว่า ราวเหล็กเริ่มหายไป แต่แม่น้ำจะอยู่ใกล้ทางเดินมากขึ้น พวกเราเดินมาจนถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง มีเรือท้ายตัด บรรจุผู้โดยสารได้ประมาณเกือบ 10 คน จอดอยู่ 2 ลำ เราเข้าไปนั่งดูสักพัก ได้คุยกับนายท่า (หรือเจ้าของเรือ) ว่า เรือนี้เป็นของคนไทย รับผู้โดยสารจากพม่ามาฝั่งไทย คนละ 20 บาท บางคนก็นำสินค้ามาขาย บางคนก็มีจักรยานมาด้วย ชาวพม่าจะข้ามมาฝั่งไทย บ้างก็นำสินค้ามาขาย เสร็จแล้วก็ซื้อสินค้าจากของไทยกลับไป พวกเขาจะข้ามมาฝั่งไทยได้ไม่เกินตลาดริมเมย ถ้าเกินไปจากนั้นจะถูกจับโดยเจ้าหน้าที่ของไทย แต่คนไทยไม่สามารถข้ามไปฝั่งพม่าได้ เราได้ทราบว่า สุดเขตบ้านเรือนของพม่าก็จะเป็นดินแดนไทย เมื่อเรามองข้ามไปฝั่งประเทศพม่า (ซึ่งก็คือจังหวัดเมียวดี) จะเป็นตลาดเล็กๆ ที่มีร้านค้า มีทางเดินขึ้นลงท่าน้ำ ชาวพม่าที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำเมย จะใช้น้ำในการซักล้าง และอาบ รวมถึงการหาปลาน้ำจืดเพื่อเป็นอาหาร สิ่งหนึ่งที่เราเห็น คือ สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำเมื่อน้ำแห้งลง ทำไมจึงสกปรกได้ถึงขนาดนั้น พวกเขาทิ้งขยะลงไปในแม่น้ำ ในขณะที่พวกเขาก็อาศัยประโยชน์จากแม่น้ำ แล้วคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในบริเวณนี้เป็นอย่างไร ภาพที่เราเห็นและคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเรา สะท้อนให้เราเห็นว่า ประเทศไทยมีการรณรงค์ อนุรักษ์ รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่ดีกว่าชาติอื่นจริงๆ สุดทางเดินของถนนริมแม่น้ำเมย จะมองเห็นบ้านเรือนของชาวพม่าที่อยู่หลังเสาสายไฟฟ้า พวกเราเดินกลับหลังมาทางเดิมไปที่รถจอดไว้ เดินมาตรงที่จอดรถข้างตลาดริมเมย เห็นชายหนุ่มขายของแปลกๆ เดินเข้าไปถาม จึงรู้ว่าเป็นชาวพม่า ขายข้าวทอด อืม...แปลกดี แต่เราก็ไม่กล้ากิน เพราะภรรยาไม่ทานของทอด ในตลาดริมเมย มีร้านขายสินค้าพื้นเมืองทั้งของไทยและของพม่า ซึ่งวันที่เราไปนั้นร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดกัน จึงไม่ได้ถ่ายรูปกันไว้ จบเป้าหมายแรกของทริปนี้แล้ว คราวต่อไปเรายังมีเป้าหมายต่อไปซึ่งน่าสนใจไม่น้อยกว่าที่แห่งนี้ ติดตามกันต่อไปนะครับ สวัสดีครับ