ก่อนจะเริ่มต้นลงทุนกับอะไรก็ตาม เราต้องมีความสามารถในการจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้เป็นบวกก่อน แล้วการจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้เป็นบวกนั้นหมายความว่ายังไง หมายความว่าเราเป็นคนที่บริหารเงินเป็นค่ะ ทำงานมีเงินออมเพิ่มเข้ามาในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ หรือพูดง่ายๆก็คือมีรายรับมากกว่ารายจ่ายและมีเงินเก็บเงินออมน้นเองค่ะ เพราะการลงทุนนั้นต้องใช้เวลายาวนานและความมีวินัยที่ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการเงินเป็นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเงินของเรายังลุ่มๆดอนๆ บวกบ้างลบบ้าง การจะเอาเงินของเราไปลงทุนก็อาจเป็นอันตรายต่อการจัดสรรเงินส่วนตัวของเราได้ค่ะ ลองทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนนะคะว่าเรามีเงินพร้อมมั้ยสำหรับการลงทุนถ้าเราเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาก่อน ก็อย่าไปคาดหวังผลตอบแทนอะไรที่มันมายมายเลยนะคะ เพื่อป้องกันเงินของเรา และเพิ่มความมั่นใจให้เรามากขึ้นซะก่อน เป้าหมายแรกของการออมหรือลงทุน จึงควรเป็นการเพิ่มสิ่งเดิมที่มีมาอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้นมาหรืองอกเงยขึ้นมา อย่างเช่น เงินออมหรือเงินสำรองของเราจะต้องเพิ่มขึ้นมาในระยะเวลาที่เรากำหนดและ เราจะรับได้มั้ยถ้าเราเอาเงินไปลงทุนแล้วมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น สุขภาพร่างกายของเรามีปัญหาขึ้นมา คนในครอบครัวของเราเกิดอุบัติเหตุ มันจะโอเคมั้ยถ้าเราสูญเสียรายได้ไป ถ้าต้องถอนเงินจากการลงทุน ซึ่งอาจเป็นปัญหาได้เพราะไม่มีใครรู้และบอกได้ชัดเจนว่าการลงทุนที่เราลงทุนนั้นจะเป็นบวกหรือเป็นลบ อยู่ในขาขึ้นหรือขาลงเราจึงควรเก็บสัดส่วนการเงินแยกไว้ต่างหากเมื่อเริ่มออมเงิน คือเงินสำรองก้อนแรก และเงินสำรองก้อนสองเผื่อกรณีฉุกเฉิน ซึ่งต้องไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนการกำหนดผลตอบแทนที่ชัดเจน จะนำพาเราไปสู่ผลลัพท์ที่ดี การมีเป้าหมายนั้นดีกว่าการไม่มีเป้าหมายค่ะ เช่น เราช้อนซื้อหุ้นมาตอนราคา 8 บาท พอมันขึ้นถึง 12 บาท เราก็ขาย ถ้าเป็นแบบนี้เราจะกำไรถึง 4% ซึ่งแต่ละคนก็มีเป้าหมายของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน แต่ทางที่ดี เราควรตั้งเป้าหมายการออมหุ้นไว้ที่ 10-15% เพื่อความสบายของเราในอนาคต และเป้าหมายเกษียณในการมีเงินดูแลชีวิตตัวเอง ทุกคนมีนิสัยในการลทุนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน และเรามองเห็นมูลค่าของสิ่งที่เราลงทุนและประเมินแนวโน้มของมันไปในทิศทางใด ถ้าราคามันตกสัก 10-20% รู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย แบบนี้เราน่าจะจัดสรรหรือปรับงบประมาณของเราในการลงทุนให้เหมาะสม กับนิสัยของเรา อย่างแรกก่อนที่เราจะลงทุนหรือลงเงินกับอะไรสักอย่าง เราต้องศึกษา และเราตอ้งรู้ประเภทของหุ้น รู้ประเภทของธุรกิจ เข้าใจว่าการกำไรและขาดทุนเกิดขึ้นมาจากอะไร อุปสรรคหรือผลกระทบที่จะเกิดกับหุ้นถ้าเราลงทุนไปคืออะไรถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้ เราจะไม่หนาวแน่นอนเวลาที่เราเจออุปสรรค หรือเราต้องอยู่บนดอยกับสิ่งที่เราลงทุน และเราก็จะมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากสิ่งที่เราศึกษา เรียนรู้ และลงทุนไปมากกว่าเดิมด้วย การมีความรู้และการมีเป้าหมายคือเครื่องมือที่ดีในการลงทุนค่ะ ถ้าขาดสองอย่างนี้ ถ้าหุ้นขาตก ใจร่วงหล่นถึงตาตุ่ม ขายจนหมดเทหมดหน้าตักกด sell อย่างเดียว พอมันขึ้นทีก็มาเสียดายหุ้นที่เราขายไปแล้วขาดทุนทีหลัง แบบนี้ เป็นต้นขอขอบคุณ เครดิตรูปภาพ หน้าปก รูปภาพประกอบที่ 1 / 2 / 3 โดย OpenClipart-Vectors