ไลฟ์แฮ็ก

สิ่งที่เด็กจบใหม่ควรรู้

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
สิ่งที่เด็กจบใหม่ควรรู้

ถึงบัณฑิต...

เนื่องด้วยเห็นน้องๆหลายคนได้พบกับวันสำคัญอีกหนึ่งวันของชีวิตคือ "วันรับปริญญา" ตัวพี่เองที่รับปริญญาเมื่อปีที่แล้ว จึงมีอะไรที่อยากบอกน้องๆเกี่ยวกับสิ่งที่พี่ได้รับมาตลอด หลังออกจากรั้วมหาวิทยาลัยนะครับ :)

...

1. การเรียนไม่ได้ช่วยในการทำงาน

สิ่งที่เราพยายามเล่าเรียนในห้องสี่เหลี่ยม ผิดหวังกับคะแนนสอบ และอดหลับอดนอนเพื่ออ่านหนังสือมา 4 ปี คือการมอบใบเล็กๆขนาด A4 1 แผ่นให้ บางคนอาจจะมีคำว่า "เกียรตินิยม" พ่วงท้าย ซึ่งความสำคัญจะอยู่แค่ตรงที่เป็นไฟล์แนบพร้อมกับเรซูเม่สมัครงาน เราจะได้รับรู้ความห่วยแตกของ"ระบบการศึกษาไทย"ที่ไม่ได้ให้อะไรเลยนอกเหนือจากความรู้ที่เอาไปใช้ไม่ได้และล้าสมัย สิ่งที่มหาลัยมอบให้เราคือ "โอกาส" ในการเข้าถึงแหล่งความรู้ แสวงหาตัวตน และพบเจออาจารย์ที่หวังดีในตัวลูกศิษย์เสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในตำราเลย สิ่งที่พี่พึ่งมาตระหนักรู้ในภายหลังก็คือ พี่เรียนมากไป ทำกิจกรรมน้อยไป และจริงจังกับชีวิตน้อยเกิน หลายครั้งทักษะแบบ Soft Skill อย่างการตั้งคำถาม การรับฟัง การโน้มน้าวใจ และการวางตัวในที่ทำงาน มีความสำคัญกว่าทักษะแบบ Hard Skill มาก

Advertisement

Advertisement

....

2. อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง

"ประธานชมรม" "นักเรียนทุนดีเด่น" "นักดนตรีมือฉมัง" "แม่ทัพน้ำเมา" เกียรติยศและฉายาที่พวกเราได้รับการยกย่องมาตลอดชีวิตมหาลัยให้โยนทิ้งไปให้หมด "เด็กเพิ่งจบ" คือคำที่เราจะได้รับและเป็นบทพิสูจน์ตัวเราเอง เราจะได้รับงานเล็กงานน้อยที่จะทำให้คิดในใจว่ามันไม่เหมาะกับศักยภาพที่ตัวเองมี แต่ใครจะรู้ งานโง่ๆพวกนี้ทำคนอวดดีตกม้าตายกันเท่าไหร่แล้ว ดังนั้นถ้ายังทำงานพวกนี้ให้ดีไม่ได้ก็อย่าพึ่งคิดทำงานใหญ่นะ

...

3. "หน้าที่" คำดีๆที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ

ถ้าวันไหนที่เราไม่อยากเรียน ขี้เกียจ ง่วงนอน เราสามารถโดดเรียนได้ แต่กับการทำงานอย่าไปหวัง "แรงบันดาลใจมีไว้สำหรับมือสมัครเล่น" และ "หน้าที่" คือเรื่องที่เราควรวางแผนให้ดี ความเป็นมืออาชีพคือการยิ้มรับทุกสถานการณ์แม้ว่าหัวใจจะแหลกสลายแค่ไหน บทบาทของสังคมจะมีผลต่อการกระทำของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง รุ่นพี่ และเจ้านาย ควรวางตัวในแต่ละสถานการณ์ให้มีความเหมาะสมและแตกต่างกัน

Advertisement

Advertisement

....

4. เพื่อนๆจะเริ่มห่างหาย

เพื่อนๆทั้งจากมหาลัยและมัธยมจะทยอยห่างหายไปจากเรา ในขณะที่เราจะโหยหาพวกมันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะบางครั้งการทำงานก็ทำให้เกิดความไว้ใจได้ยาก และบางทีการเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่คำตอบ “เพื่อนร่วมงาน” จะเป็นเพื่อนที่เราอยู่ด้วยเยอะที่สุด การทำงานจะสนุกมากขึ้นถ้าเราสามารถทำให้เพื่อนร่วมงานกลายเป็นเพื่อนร่วมชีวิตได้ การร่วมทุกข์ร่วมสุขในการทำงานยังคงสามารถเกิดขึ้นได้บนฐานของการปรับตัวและจริงใจต่อกัน อย่าพึ่งหมดหวัง

....

5. สุขภาพและเงิน คือเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญ

การสังสรรค์แบบโต้รุ่ง การเที่ยวอย่าหลงลืมตัว และการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย ควรเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด คำพูดที่ว่าเราทำอะไรก็ได้ถ้าไม่เดือดร้อนผู้อื่นไม่เป็นจริง ทุกการกระทำของเรามีผลกระทบกับสังคมเสมอ ดังนั้นดูแลตัวเองให้ดี พร้อมรับกับสถานการณ์ความเสี่ยงทุกเมื่อ เราชอบคำว่า Work Half, Play Half มากกว่า อีกคำมันไว้ให้พวกนักโฆษณาปั่นหัวเราเล่น

Advertisement

Advertisement

....

6. เราจะนิ่งขึ้น

เราจะมีความทุกข์แบบสุดๆน้อยลงเช่นเดียวกันกับความสุข เราร้องไห้น้อยลงเช่นเดียวกับเสียงหัวเราะ เรื่องราวที่เคยทำให้เราใจเต้นในวัยเด็กตอนนั้นอาจไม่ทำให้เรารู้สึกอะไรเลยตอนนี้ เราจะใจเย็นมากขึ้น พูดน้อยลง และทำมากขึ้น ในขณะที่ความสร้างสรรค์เราก็จะน้อยลง เพราะกรอบของความคิดเราเริ่มแข็งแรงแล้ว เราจะเริ่มมีคนมาขอคำปรึกษาบ้าง ถึงเวลานั้นควรมีคำตอบดีๆบ้างนะ

...

7. หันมาโฟกัสที่ตัวเองไม่ใช่คนอื่น

“Start-up พันล้าน” “รวยก่อนอายุ 30” “งานที่ดีต้องทำตาม Passion” คำประเภทนี้เราจะได้เห็นวนเวียนอยู่บนหน้า Social media หรือบางครั้งที่ยังไม่รวยก็จะแชร์ถึงการทำงานอย่างหนักและการอดหลับอดนอนเพื่ออนาคตที่วาดฝันไว้ (และมีบ้างที่แซะคนที่ไม่ได้ทำเหมือนกับตัวเอง) “การทำงาน” และ “การเปรียบเทียบ” จะกลายเป็นคุณค่าหลักที่มีผลกระทบกับเราอย่างมาก หลายครั้งมันทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่อยากเป็น ดังนั้นอยากให้ลองถอยออกมาบ้าง อย่าทำงานจนลืมหูลืมตา ทบทวนตัวเองบ่อยๆ มองตัวเองจากมุมมองของบุคคลที่ 3 สนใจเรื่องของคนอื่นและแคร์สายตาของสังคมให้น้อยลง รู้จักการปฏิเสธ สำหรับพี่คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่รวย แต่คือคนที่ตอบได้ว่า “ฉันเป็นใคร”

....

8. ความกล้าหาญไม่ใช่การพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดทุกเรื่อง

บทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตพี่ก็คือ ความกล้าหาญคือการนิ่งเงียบ รับฟัง และพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดให้น้อยที่สุด พยายามวิเคราะห์อีกฝั่งว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้เค้าเป็นแบบนั้นและความต้องการที่แท้จริงคืออะไร คำว่าเข้าใจคือคำที่ควรใช้ให้น้อยที่สุด เราไม่มีวันเข้าใจตราบใดที่เราไม่ใช่เค้า แล้วถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ให้เก็บข้อดี-ข้อเสียในปัจจุบันให้มากที่สุด รอคอยจนถึงโอกาสและเวลาที่เหมาะสมค่อยแสดงให้เต็มที่ เคล็ดลับอย่างนึงในการโน้มน้าวใจผู้ใหญ่คือการแสดง Small Success ให้เค้าเห็น ใช่ครับ นักล่าจะได้เหยื่อก็ต่อเมื่อรอคอย สิงโตไม่ได้พูดมากเหมือนเป็ดนะ

Cr.เรื่องนี้พี่ให้กับซีรีย์ House of Card และหนังเรื่อง God father ครับ

..

9. "ครอบครัว" จะกลับมามีความสำคัญมากขึ้น

หลังเรียนจบ เราจะได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น ทานข้าวกับพวกเค้าบ่อยขึ้น ให้รู้ไว้เสมอว่าครอบครัวคือกลุ่มคนที่หวังดีต่อเรามากที่สุดแล้วแม้ว่าจะปากร้ายแค่ไหนก็ตาม กับคนในครอบครัวให้มองที่เจตนารมย์มากกว่าคำพูด เช่นกัน พ่อแม่เราจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ช่วงนี้เราอาจจะมีแวะเวียนไปตามโรงพยาบาลและได้ศึกษาโรคที่พ่อแม่เป็น เราจะเริ่มได้รู้แล้วว่าความตายมันใกล้ตัวเรานิดเดียว และความสูญเสียเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมรับมือพร้อมกับผ่านมันไปให้ได้

..

10. ความรักแบบแฟนไม่ได้ส่งผลกับชีวิตมากขนาดนั้น

การร้องไห้อย่างเป็นบ้าเป็นหลังเพราะถูกแฟนทิ้งกลายเป็นอดีต “ความไม่แน่นอนคือสัจธรรมของทุกสิ่ง” คนที่รักวันนี้ไม่ได้หมายความว่าจะรักวันหน้า สิ่งที่เราพอทำได้คือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ถ้ามีอยู่แล้วก็รักษาให้ดี ถ้าไม่มีก็ทำตัวเองให้ดี หน้าตาจะมีผลต่อหัวใจน้อยกว่านิสัย แล้วเราจะได้ใครมาก็ไม่รู้ที่ไม่ตรงสเปคเลย แต่สำหรับเราเค้าน่ารักที่สุดแล้ว ความคิดถึงจะมีแวะเวียนมาบ้าง แต่สังเกตให้ดีบางทีเราไม่ได้คิดถึงเค้าหรอก เราแค่คิดถึงตัวเองเวลาอยู่กับเค้ามากกว่า ใช่ครับ แฟนจะไม่ใช่เรื่องที่สำคัญกับชีวิต เผลอๆเรื่องเงินจะสำคัญกว่า

...

11. เสียดายกับอดีตได้แต่อย่าเสียใจ

“คิดถึงมหาวิทยาลัยจัง” “อยากกลับไปเรียน” “รู้งี้ตั้งใจ...ดีกว่า” จะเป็นคำรำพึงรำพันของคนเรียนจบได้สักระยะนึงแล้ว หลายคนให้การเรียนปริญญาโทเป็นช่วงพักเบรคของชีวิต หลายคนยังเที่ยวเล่นโดยไม่มีงาน และหลายคนยังขอเงินพ่อแม่ไปวันๆ อยากบอกน้องๆทุกคนว่า ยุคสมัยของเราเป็นยุคที่เต็มไปด้วยโอกาส ในขณะที่ก็รวดเร็วจนปรับตัวแทบไม่ทัน เราถูกเลี้ยงดูมาภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดที่สังคมจะให้ได้ ดังนั้นอย่ายอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ถ้าจะล้มเลิกอะไรสักอย่าง ให้จริงใจกับคำถามที่ว่า “เราเลิกทำเพราะมันต้องเลิกหรือเลิกเพราะเราท้อกันแน่” คิดดีๆก่อนที่จะตัดสินใจอะไรออกไป ใช่ครับ สายน้ำไม่มีวันหวนกลับ และขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตทุกคน เป็นกำลังใจให้นะครับ ;)

ขอบคุณบทความจาก:Reianthong Vongsangkam

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์