ปัจจุบันมูลค่าน้ำมันดิบโลก (16 พฤษภาคม 2563) มีราคาลดลงมากจากอดีต เนื่องจากได้รับผลกระทบของวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 จึงทำให้คนหยุดเดินทางส่งผลต่อความต้องการของน้ำมันลดลง จึงกลายเป็นน้ำมันล้นโลก (อุปทานมากกว่าอุปสงค์) เมื่อลองมองย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ทุกคนคงไม่คิดว่าพลังงานอย่าง “น้ำมัน” จะราคาดิ่งลงมามากกว่า 50% เหตุผลที่มีความคิดเช่นนั้น เนื่องจากน้ำมันเป็นทรัพยากรบนโลกที่มีอยู่อย่างจำกัด และทุกคนมีความจำเป็นต้องใช้อยู่เสมอดังนั้นจึงคิดว่าน้ำมันจะต้องมีราคาเพิ่มทุกเดือน ทุกปี แต่เมื่อวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 เข้ามาเยือน ทำให้ทำลายความคิดเก่า ๆ ของเราไปเลย จากน้ำมันที่มีค่า กลายเป็นทรัพยากรเหลือจนไม่มีที่เก็บ เมื่อมองไปถึงตลาดหุ้นที่สหรัฐอเมริกา จะมีสิ่งหนึ่งที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสวนทางกับราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ นั่นก็คือ หุ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี(กราฟราคาน้ำมันดิบที่ซื้อขายทั่วโลก ปัจจุบันมีราคาลดลงจนต่ำสุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา)สิ่งที่ได้เรียนรู้และได้วิเคราะห์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ คือ “ข้อมูล” หรือ “Big Data” คำสั้น ๆ แต่มีความหมายต่อทิศทางอนาคตมหาศาล และตอนนี้ข้อมูลกำลังจะมีค่ามากกว่าน้ำมัน น่าประหลาดใจเนื่องจากสิ่งที่มีค่าในอนาคต มีลักษณะที่ตรงข้ามกับน้ำมัน เพราะข้อมูลเป็นทรัพยากรที่มีเพิ่มขึ้นทุกเวลา ทุกวินาที มีเพิ่มขึ้นแบบไม่มีวันหมด ยิ่งมีมากขึ้นก็ยิ่งมีคุณค่ามากตาม และเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด ไม่สามารถจับต้องได้นอกจากจะออกมาในเชิงตัวเลขและเชิงรูปธรรม หากบริษัท องค์กร มนุษย์คนใดมีมากที่สุด ก็ย่อมที่จะสามารถใช้ประโยชน์เพื่อสนองความต้องการของตนเองได้มากที่สุด(ราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Amazon ที่มีมูลค่าสูงขึ้นมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา)สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวบ่งบอกได้ว่า ข้อมูลมีคุณค่ามากกว่าน้ำมัน คือ บริษัทที่มีมูลค่าสูงในอันดับต้น ๆ ของโลก เราจะพบว่าในปี 2019 บริษัท Amazon, Google และ Facebook มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 30 28 และ 16.6 ล้านล้านบาท ตามลำดับ บริษัทอันดับต้นทั้ง 3 บริษัท จัดอยู่ในบริษัทเทคโนโลยี สิ่งที่กำหนดทิศทางและขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินต่อ คงหนีไม่พ้นการใช้ “ข้อมูล” เพื่อมากำจัดสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการ และใส่ฟีเจอร์ในสิ่งที่มนุษย์ชอบ ยิ่งมีเพิ่มขึ้นก็ยิ่งได้ใจมนุษย์ที่เป็นผู้บริโภคของบริษัท โดยข้อมูลที่ถูกนำมาพัฒนาก็ไม่ได้เก็บมาจากที่ไหน หรือซื้อเพิ่มมาจากไหน แต่เก็บและประมวลผลได้จากผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ของบริษัทเอง (ได้ทั้งผู้บริโภคและได้ข้อมูลมาแบบฟรี ๆ) เมื่อเก็บข้อมูลส่วนตัว ลักษณะความชอบ พฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว ก็ให้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นผู้ประมวลผลอีกด้านหนึ่งที่ทำให้ “น้ำมัน” เริ่มมีคุณค่าและมูลค่าลดลง เนื่องจากผู้บริโภครถยนต์ในประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มหันมาใช้และให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla มากขึ้น ซึ่งบริษัท Tesla กำลังมุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับให้เป็นจริง และสิ่งที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ก็คือ “ข้อมูล” เพื่อใช้ประมวลผลให้รถขับไปถึงปลายทางอย่างปลอดภัย เช่น นำข้อมูลมาประมวลผลสัญญาณไฟจราจร ป้ายจราจร กำหนดความเร็ว และสแกนบริเวณรอบรถเพื่อเปลี่ยนเลน ดังนั้นจากสถานการณ์ในอดีตและมองอนาคตจากทิศทางการเติบโตของธุรกิจ จึงทำให้ข้อมูลมีมูลค่ามากกว่าน้ำมัน.ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ หวังว่าจะได้รับความรู้ใหม่ ๆ กลับไปใช้นะครับ สุดท้ายแล้วสามารถติดตามพวกเราสายเที่ยวสายแดกได้ที่•𝙁𝙖𝙘𝙚𝙗𝙤𝙤𝙠 : https://bit.ly/2xbgIao•𝙔𝙤𝙪𝙩𝙪𝙗𝙚 : https://bit.ly/2W0OkAb•𝙄𝙣𝙨𝙩𝙖𝙜𝙧𝙖𝙢 : https://bit.ly/2KwSOce. ขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay รูปประกอบที่ 1 / Investing รูปประกอบที่ 2 / รูปประกอบที่ 3 / Tesla รูปประกอบที่ 4