ย้อนกลับไปเมื่อซัก 50 ปีที่แล้วหากพูดถึงสิ่งประดิษฐ์หรือแนวคิดใหม่ๆ คนส่วนใหญ่คงนึกถึงอเมริกาเป็นประเทศแรกๆ เพราะตั้งแต่เทคโนโลยีที่ทันสมัยไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่ผู้คนใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันจำนวนไม่น้อยล้วนเป็นสินค้าของบริษัทแบรนด์ระดับโลกสัญชาติอเมริกันแทบทั้งนั้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความยิ่งใหญ่ของอเมริกาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่ค่อยบอบช้ำจากผลของสงครามและกลายเป็นมหาอำนาจทั้งในด้านการทหาร การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีในตลอดหลายทศวรรษต่อมาภาพ: อเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2ต่อมาในช่วงกลางทศวรรษ 1960 ญี่ปุ่นได้กลายเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระดับแถวหน้าของเอเชีย และระดับโลกในเวลาต่อมา สืบเนื่องมาจากความพยายามในการฟื้นตัวจากสงครามอย่างจริงจัง เพราะหลังจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นนำสิ่งประดิษฐ์จากประเทศตะวันตก (ส่วนใหญ่ก็มาจากอเมริกา) มาแปลงให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำตลาดได้ทั่วโลก ผ่านกระบวนการต่างๆ ทั้งที่ถูกต้องตามกฏหมายไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing) การศึกษาสิทธิบัตร (Patents) และเอกสารทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Documents) หรือที่ไม่ถูกกฏหมาย เช่น การลอกเลียนแบบเอาดื้อๆ โดยไม่สนใจเรื่องของสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญา จนสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาด้วยตนเองภายในระยะเวลาเพียง 20 ปีหลังจากสิ้นสุดสงคราม บริษัทของญี่ปุ่นเริ่มมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาดและมีสินค้าที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สินค้า Made in Japan กลายเป็นสิ่งการันตีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดภาพ: ประเทศญี่ปุ่นสมัยใหม่ในฟากฝั่งเอเชีย เมื่อกล่าวถึงญี่ปุ่น คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงเกาหลีใต้ เพราะในขณะที่ญี่ปุ่นได้ขึ้นมามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจโลก เกาหลีใต้เพิ่งจะเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรมหลังจากที่ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่ย่ำแย่หลังสงครามเกาหลีในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เกาหลีใต้ให้ความสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษา ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี รวมถึงปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการผลิตและส่งออก ในช่วงนั้นเราเริ่มเห็นสินค้าแบรนด์เกาหลีหลายแบรนด์ในตลาดต่างประเทศ รวมถึงในตลาดบ้านเรา ซึ่งในระยะแรกก็เน้นเอาราคาถูกเข้าว่า แต่ต่อมาก็มีการพัฒนาทั้งในเรื่องคุณภาพสินค้าและการออกแบบจนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกภาพ: กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด นวัตกรรมและจำนวนสิทธิบัตรเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา และจากรายงานล่าสุดที่มีชื่อว่า World Intellectual Property Indicators 2019 ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก หรือ WIPO ชี้ให้เห็นว่าในปี 2018 (ปีล่าสุดที่มีการเก็บข้อมูลเพื่อจัดทำรายงาน) จีนมีการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นตามลำดับภาพ: ลำดับการขอสิทธิบัตรเมื่อปี 2018 (WIPO, 2019)ถ้าดูจากรายงาน เปรียบเทียบเฉพาะในเรื่องของจำนวนการขอรับสิทธิบัตร จีนมีจำนวนการขอรับสิทธิบัตรแซงหน้าเกาหลีใต้ในปี 2005, แซงญี่ปุ่นในปี 2010 และแซงอเมริกาในปี 2011ภาพ: ปริมาณการขอสิทธิบัตรของจีนที่ผ่านมา (WIPO, 2019)ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาสินค้าแบรนด์จีนเข้ามาตีตลาดในบ้านเราหลายต่อฃหลายแบรนด์แล้วครับ โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตโดยแบรนด์ระดับโลกอย่าง Huawei Lenova หรือ Xiaomi นอกจากนี้ยังมีสินค้าอีกเยอะแยะมากมายที่ผลิตโดยบริษัทใหญ่ในจีนแต่อาจยังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา ซึ่งทยอยเข้ามาบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคเองก็เริ่มยอมรับในเรื่องของคุณภาพที่เทียบเท่ากับแบรนด์อื่นที่อยู่ในตลาดมานานในราคาที่ถูกกว่าส่วนตัวผมว่าสินค้าจีนครองโลกมานานแล้วครับ แต่ในฐานะของผู้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของต่างชาติที่ไปตั้งโรงงานในจีน ต่อไปอีกไม่นาน จีนคงจะครองโลกด้วยสินค้าที่อยู่ภายใต้แบรนด์ของจีนเองแล้วล่ะครับ อ้างอิงจากWIPO (2019). World Intellectual Property Indicators 2019. Geneva: World Intellectual Property Organization. จาก https://www.wipo.int/edocs/pubdocs/en/wipo_pub_941_2019.pdfขอบคุณภาพจากภาพปก Freepikภาพที่ 1 Pixabayภาพที่ 2 Freepikภาพที่ 3 Freepikภาพที่ 4 WIPOภาพที่ 5 WIPO