คืนพระจันทร์เต็มดวงกับอาคารตึกรัฐสภาช่วงก่อนโรคระบาดจะคืบคลานมาถึงยุโรป สวัสดีจากเมืองบูดาเปสท์ เมืองหลวงที่เป็นหนึ่งในเมืองที่มีชื่อเสียงด้านแสง สี เสียงแพรวพราย สวยที่สุดเมืองหนึงในยุโรปนะ ด้วยความเป็นเมืองที่มีความขึ้นชื่อด้านสปา น้ำพุร้อน โบราณสถาน คลับบาร์แหล่งท่องเที่ยวที่แต่ละวันรับนักท่องเที่ยวมากมายมหาศาลจากทั่วโลก มันเริ่มต้นประมาณเดือนมีนาคมที่อิตาลีและเสปนรวมทั้งอังกฤษเริ่มมีข่าวโรคระบาดและยอดผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นจนน่าตกใจ ระหว่างเดินทางไปทำงานด้วยแทรมและอ่านข่าวในเฟสบุคไป ทางการแจ้งข่าวฮังการีก็พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 สองคนแรกเป็นนักศึกษาต่างชาติจากประเทศอิหร่าน มันเริ่มต้นด้วยความเรียบเฉย ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากหลักหน่วย เป็นหลักสิบ คนท้องถิ่นก็ยังเฉย แม้แต่บริษัทที่ทำงานเอง เจ้าของที่เป็นฮังกาเรี่ยนก็ยังบอกว่า "มันเป็นแค่หวัด" พร้อมยักไหล่แล้วเดินจากไป พนักงานคนไทยหันมองหน้ากันเอง หลายคนเริ่มกักตุนอาหารไว้ที่บ้านพนักงาน หลายคนเริ่มสั่งหน้ากากอนามัย แม้ว่าจะดูเหมือน "นิ่ง" แต่เราคนไทยสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่มันอาจจะมาถึง เหมือนความนิ่งก่อนมีปฏิวัติรัฐประหาร เหมือนความนิ่งก่อนสึนามิถล่มภูเก็ต เหมือนความนิ่งก่อนตึกถล่ม เหมือนความนิ่งก่อนทุกอย่างพุ่งขึ้นฟ้าแล้วระเบิดลงมา บูม! เป็นโกโก้ครันช์ ความนิ่งแต่น่าสั่นประสาทหวั่นไหวเพราะความเป็นต่างด้าวในประเทศแปลกหน้า ความตัวคนเดียวในถิ่นที่ไม่รู้จัก ความกลัวที่อยู่ลึกในใจมันบอกว่าอนาคตที่มองไม่เห็นข้างหน้านี่แหละที่มันทำให้ทุกอย่าง "นิ่ง" จนกระทั่งกลางเดือนมีนาคม เมื่อยอดผู้ติดเชื้อในฮังการีพุ่งขึ้นเป็นหลักร้อยและเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจนเกือบพัน อิตาลีและเสปนแทบจะควบคุมไม่ได้และมาตราการล๊อคดาวน์เริ่มเข้มข้นขึ้น ชีวิตยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม ร้านรวงยังเปิดปกติ แต่ความผิดปกติมันเกิดขึ้นแล้วสักพัก "คนจีนเป็นตัวนำเชื้อโรคเข้ามา" ชุดความคิดที่แพร่สะพัดไปในหมู่คนท้องถิ่น เราคนเอเชียที่หน้าตาค่อนไปทางจีน ( แน่ๆ เพราะเชื้อสายจีนเข้มข้น) ก็จะถูกบูลลี่ อยู่ๆ ก็ถูกตะโกนใส่ "ไอ้โคโรนาไวรัส" ครั้งหนึ่งที่แย่ที่สุดก็ตอนถูกล้อเลียนจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นในรถไฟฟ้าใต้ดิน คนเอเชียกลายเป็นเป้านิ่งให้ถูกก่นด่า ถูกมองเหยียด ถูกระแวงแบบไม่มีเหตุผล ( ฉันก็กลัวเธอ เธอก็กลัวฉัน เรากลัวกันและกัน) แต่ทว่า, การใส่หน้ากากอนามัยยังไม่เป็นที่พิศมัย คนใส่หน้ากากอนามัยคือคนป่วย คนใส่หน้ากากอนามัยคือคนติดเชื้อ ด้วย mindset แบบฝรั่งทั่วไปเราจึงพยายามอยู่อย่างกลมกลืน ไม่ใส่หน้ากากอนามัย แต่ไม่ใกล้ฝรั่งที่เริ่มดูป่วยๆ จากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจากหน้าหนาวเข้าสปริง รัฐบาลเริ่มมีทีท่าจะแก้ปัญหาตามประเทศใหญ่ๆในอียูเช่น เยอรมันนี ที่ยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นน่าตกใจในไม่กี่วัน ลูกค้าเริ่มน้อยลง หลายคนเริ่มโทรมาแคนเซิล คนเริ่มระแวงและหวั่นไหวเพราะจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นหลายร้อย จนเกือบแตะหลักพัน เจ้าของบริษัทที่เคยบอกว่า "มันเป็นแค่หวัด" (คุ้นๆไหม) โทรมาบอกว่าให้ทุกคนเริ่มกักตุนอาหาร ฮังกาเรียนหลายร้อยเริ่มมุ่งไปยังซูเปอร์มาร์เกตใกล้บ้านและตุนของใช้ อุปโภคบริโภค แอลกอฮอล์ เจลล้างมือเริ่มขาดตลาด หน้ากากอนามัยถูกกว้านซื้อจนหาไม่ได้และถูกฉกฉวยโอกาสขึ้นราคาจนน่าตกใจ EU หรือสหภาพยุโรปกำลังจะปิดพรมแดน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนหลายคนตั้งตัวไม่ทัน บรรยากาศในเมืองเคร่งเครียดจนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอึดอัดในอากาศ ร้านอาหารจากที่เคยเปิดให้นั่งโต๊ะข้างในได้ก็ต้องพับโต๊ะเก็บ นั่งได้แค่ข้างนอก ร้านกาแฟก็เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึง ผับและบาร์ต่างๆที่ต้องจำใจปิด ร้านกาแฟชิคๆ กลางเมืองบนถนน Kalvin ที่ควรพลุกพล่านไปด้วยคนมากมายกลับเงียบเหงา คนตกงานภายในวันเดียวมีเป็นหมื่น! มาตราการสั่งปิดร้านค้าต่างๆและสถานที่เสี่ยงมาถึงและวันนั้นคือวันที่เราต้องทำใจกับการ "ว่างงาน" และไม่มีรายได้ เมื่อบริษัทเรียกประชุมและนับเงินส่งให้พนักงานแต่ละคน วันนั้นหลายร้านปิดตัวลงถาวร ส่งพนักงานกลับเมืองไทย หน้าตาแต่ละคนหวั่นไหวกับการต้องอยู่แบบ "ไม่มีรายได้" และแต่จากนี้ไปจะมีแต่ "รายจ่าย" หลายคนมีเงินเก็บอยู่บ้าง และอีกหลายๆคนที่แทบไม่มีเลยเพราะอย่างที่เรารู้กัน ต่างด้าวในต่างประเทศส่งเงินกลับบ้าน และหลายคนที่ชะล่าใจหมดเงินไปมากมายกับข้าวของทีไม่จำเป็น แบรนด์ฟุมเฟือย หรือการศัลยกรรมที่เสพย์ติด คนที่เพิ่งได้มาอยู่ไม่กี่เดือนอย่างฉันหวั่นไหวกับอนาคตของประเทศ เงินเก็บที่พอมีอยู่บ้างไม่ได้ทำให้อุ่นใจมากนัก เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าเป็นยังไง กับบรรยากาศที่ผสมปนเปกันไประหว่างความกลัว ความไม่รู้ ความมึนงง เมืองทั้งเมืองกำลังถูกปิดตัวลง ด้วยพรมแดนที่ทยอยปิดไม่ให้มีการเข้าออก ไฟลท์ถูกแคนเซิล เมืองท่องเที่ยวที่เคยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวกลายเป็นเมืองร้าง ฉันเห็นคนเริ่มทยอยย้ายออกไปบ้านญาติบ้านพ่อแม่ตามต่างจังหวัดนอกบูดาเปสท์ ฉันเห็นทุกอย่างทยอยปิดตัวลง ฉันเห็นคนเริ่มบางตาลงเพราะคนหลั่งไหลออกนอกเมือง ฉันเห็นคนตกงานและคนเร่ร่อนเพิ่มมากขึ้น พวกเขาเหล่านั้นถ้าหากไม่มีที่ไปตามต่างจังหวัดอย่างคนอื่นๆ ก็จะเห็นเดินเร่ขอเงิน หรือนั่งอยู่ตามแหล่งชุมชนต่างๆ (ที่ตอนนี้ก็แทบไม่มีคน นอกจากพวกคนเร่ร่อนด้วยกัน) มีอะไรที่เปิดบ้าง? ซูเปอร์มาร์เกต ธนาคาร (แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นยังไม่ค่อยเปิดเคาเตอร์) ร้านอาหารและกาแฟ ( only take away) และร้านขายยา มีอะไรที่เปิดและเข้าไม่ได้บ้าง? โรงพยาบาล - ใช่แล้ว ถึงคุณป่วยก็เข้าโรงพยาบาลไม่ได้ หลายคนคงเคยได้ยินว่ามีหลายคนในยุโรปที่ล้มป่วยลงเพราะติดโควิดก็นอนอยู่บ้านเยียวยาตนเอง มาตราการเขาเป็นแบบนี้ค่ะ 1. ป่วยหรือ? อยู่บ้านแล้วโทรหาฮอตไลน์สายด่วน หมอจะบอกคุณว่าให้ดูแลและกินยาอะไรยังไง ( ง่ายๆเลยก็คงกินยาพาราเซตามอลนั่นแหละ เพราะหาซื้อได้ทั่วไป กินไปสิบวันตามอาการไข้) ถ้าหากสุขภาพโอเคคุณก็จะฟื้นฟูตนเองได้แบบคนทั่วไป ถ้าหากมันแย่ขนาดที่ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาลนั่นคือ คุณอาการเพียบแบบต้องไปอยู่ห้องไอซียูและใช้เครื่องช่วยหายใจ (ส่วนใหญ่เคสแบบนั้นคือคนแก่และคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว) 2. คนป่วยอยู่แล้ว คนไข้ที่นัดหมออยู่แล้ว คนไข้ที่นัดผ่าตัดทุกอย่างถูกเลื่อนไปหมด คนไข้ทำฟันทนปวดต่อไป นอกจากจะไปหาหมอคลินิกเอกชนที่แพงกว่ารัฐบาล ( ลองหลับตาแล้วนึกถึง รพ พระมงกุฏ รพ จุฬาลงกรณ์ รพ รามานะคะ แบบนั้นเลย คือนัดสามเดือนล่วงหน้าแล้วไปนั่งรอชั่วโมงสองชั่วโมง) ประมาณสองสามเท่า มีข่าวออกมาว่าคนไข้นัดทำฟันแล้วถูกเลื่อนนัด คนไข้ปวดฟันหนักขนาดฆ่าตัวตาย !!! อีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมาช่วงเมษายน มาตราการรัฐบาลที่ต้องการ Free beds หรือเพิ่มเตียงว่างในโรงพยาบาลเพื่อรองรับผู้ป่วย ( ในอนาคต) ไข้อู่ฮั่นหรือโควิดนี่ด้วยการให้ผู้ป่วยที่นอนเตียงรักษาด้วยอาการอื่นๆ กลับบ้าน (ไปตายดาบหน้า?) และด้วยจำนวนผู้ป่วยที่ไม่ได้มีเยอะแยะขนาดต้องไปนอนโรงพยาบาล ( เชื่อว่าเยอะมากก็นอนรักษาโด๊ปยาอยู่บ้านนั่นแหละ) เตียงก็ว่างจริงๆ และประชาชนก็ด่าขรมด้วยมาตราการที่โนสนโนแคร์ โรงเรียนและสถานศึกษา ส่วนใหญ่ใช้การเรียนออนไลน์ เด็กนักศึกษาฮังกาเรียนถูกส่งกลับบ้านไปเรียนออนไลน์ที่บ้าน ( หอพักจะได้ไม่แออัด) ส่วนนักศึกษาต่างชาติก็ยังแออัดกันอยู่ในหอพักเช่นเดิม ( distancing / isolation ทำไม่ได้จริงจังในสถานการณ์จริง) แต่ด้วยความเป็นจริงแล้วโอกาสการติดเชื้อและป่วยในเด็กและวัยรุ่นขบเผาะนั้นน้อยมาก ไอ้ที่น่ากลัวน่ะ คนแก่ตาม Rest home หรือบ้านพักคนชราต่างหาก เพราะฮังกาเรียนนี่แปลกมาก ทั้งที่ไวรัสนี่เป็นอันตรายกับคนแก่ (ที่น่าจะรู้กันว่า Immune System หรือภูมิคุ้มกันต่ำ) แต่ที่นี่ คนหนุ่มสาวขังตัวเองอยู่บ้านแบบพารานอยด์เยอะมากๆ ในขณะที่ทั้งเมืองคนแก่เดินกันพล่านจัดจ้านในย่านนี้เลยแหละ "เราอยู่บ้านเพื่อที่เขาจะได้ปลอดภัยไงล่ะ" หนึ่งในหนุ่มน้อยฮังกาเรียนบอกกับฉันด้วยเสียงขำขันในวันหนึ่ง สวนสาธารณะใหญ่ๆ แบบเกาะมาร์กาเรต ถูกปิดในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะเข้าสปริงแล้ว แดดออก อากาศดี คนอยู่บ้านมากๆใกล้เพี้ยนก็จะหาทางออกด้วยการไปนั่ง นอน อาบแดดในสวนสาธารณะต่างๆ มาตราการที่ออกมาว่าไม่มีเคอร์ฟิวนะ ใครๆ ก็ออกจากบ้านได้ด้วยสารพัดเหตุผลตั้งแต่ออกไปเดินออกกำลังกาย จูงหมาไปเดิน ปั่นจักรยานออกกำลัง แม้แต่จะไปตัดผมก็ทำได้ ( แต่ร้านตัดผมปิดเป็นส่วนใหญ่) แต่มีคนกลุ่มเกรียนๆ ที่ไปนั่งสังสรรค์หมู่กันในพาร์ค หรือปาร์ตี้เล็กๆ จนตำรวจเดินตรวจออกใบเตือน บ้างก็ถูกปรับ จนจากที่แรกๆ เปิดทุกวันตอนนี้เสาร์ อาทิตย์ปิดไม่ให้เข้า ปลายเมษายน มาตราการใหม่มาอีกแล้ว คราวนี้เอาจริงเอาจัง ( เป็นเวลาของคนแก่ไง คนหนุ่มช่วงเวลา 9 โมงเช้าถึงเที่ยง คนที่สามารถเข้าไปซื้อของในซูเปอร์มาเกต ฟาร์มาซีได้คือคนอายุ 67 ปีขึ้นไปเท่านั้น ) ฉะนั้นจะอะไรก็ตามต้องคิดคำนวณเอาว่าจะไปซื้อของ ซื้อทุกอย่างและเผื่อไว้ว่าจะต้องมีอาหารเช้าของอีกวัน เพราะหลังเที่ยงจะเป็นเวลาของพวกเรา คนแก่ๆยังเข้าได้ไหม? เข้าได้จ้ะ (แล้วจะมีเวลาเคอร์ฟิวทำไม??) มาตราการเข้มข้นขึ้นเรื่องการ distancing ตามสถานที่ต่างๆ ปกติคนก็เดินห่างกัน (ถ้าหากไม่รู้จัก) อยู่แล้วจากที่เคยมีมาตราการทุกคนต้องอยู่ห่างกันหนึ่งเมตรครึ่งแม้แต่ในรถบัส รถไฟฟ้า รถแทรม ตอนนี้เข้าเดือนพฤษภาคม ประเทศฮังการีเพิ่งนึกได้ว่าควรต้องประกาศให้ประชาชนใส่มาร์ก ประกาศของทางการออกมาว่า "ต่อไปนี้ ถ้าหากจะเข้าซูเปอร์มาร์เกต และใช้บริการขนส่งสาธารณะ ก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย หรือมีผ้าปิดปากและจมูกด้วย" ( ซึ่งได้ผลดีนะ แต่หลายคนใส่หน้ากากปิดคาง ปิดแค่ปาก แต่เปิดจมูก บางทีเราก็คิดว่าทำไมไม่เลิกหน้ากากอนามัยหรือผ้านั่นขึ้นไปบนหน้าผากเสียเลยแบบแว่นกันแดดไง) ยุโรปหลายที่ในเดือนพฤษภาคมเริ่ม "ปลดล๊อค"เยอรมันยักษ์ใหญ่ที่ติดเชื้อเยอะและออกจะเข้มงวดก็เริ่มเปิดร้านเล็กๆ เปิดโรงเรียน ออสเตรียก็เริ่มเปิดร้านรวงแล้วเช่นกัน บางที่ก็ต่อล๊อคไปอีกหน่อย บางที่ก็วู้ฮูปลดล๊อคจนเกือบเหมือนปกติแบบสวีเดน(แต่ยังจัด distancing) ฮังการีก็เอาบ้าง เพราะประกาศที่แล้วหมดในวันที่ 3 พฤษภาคม ทุกคนก็จับตามองด้วยความหวังว่าจะเข้าสู่สถานการณ์ปกติ (ได้หรือยัง) ฮังการีก็เริ่มปลดล๊อกบ้างแล้วตั้งแต่วันที่สี่ คือผ่อนคลายล๊อกดาวน์ฝั่งต่างจังหวัดแถบทะเลสาบบาราทอน ร้านค้า ร้านอาหารเปิดได้ปกติแล้วแต่คิดว่า distancing ก็ยังคงต้องมีแบบปกติใหม่ ( New Normal) ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่ายังไงต่อไปแต่ที่รู้ๆ ถ้าหากยังคงปิดทุกอย่างแบบนี้ต่อไปทั้งเมือง เศรษฐกิจที่น๊อคไปแล้วอาจจะน๊อคต่อไป คนตกงานก็ใกล้จะอดตาย (รวมทั้งเราด้วย) คนฮังกาเรียนบางส่วนเท่านั้นที่ work from home ได้ เพราะร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สปา ผับและบาร์ คนที่ทำงานในสถานที่เหล่านี้มากมายไม่มีที่ไป หลายคนไม่มีเงินเก็บ หลายคนหาเงินใช้จ่ายเดือนชนเดือน ส่วนใหญ่ฮังกาเรียนที่รู้จักมีเงินเก็บพอจะอยู่ต่อได้เพียงแค่สองเดือนสามเดือนเท่านั้น ในส่วนตัวนั้นคิดว่าทุกรัฐบาลในโลกนี้ต่างไม่รู้หรอกว่าจะรับมือกับไวรัสและโรคระบาดนี้อย่างไร มาตราการล๊อกดาวน์ทำได้แค่ชะลอให้การติดเชื้อและคนป่วยในโรงพยาบาลแบบเพียบๆช้าลงเท่านั้น วิวเมืองและแม่น้ำดานูปจาก Castle district ในวันที่บูดาเปสท์ถูกล๊อกดาวน์ สองเดือนแล้วที่อยู่กับเมืองร้างนิ่งๆ และยุโรปหลายที่เริ่มคลายมาตราการล๊อกดาวน์ เราอาจจะมีทางเลือกจริงเพียงแค่สองอย่างคือ ยอมปิดกันต่อไปแบบยังไม่รู้ว่าจะนานขนาดไหน (ให้ยอดติดเชื้อลดลง หรือจนกว่าทุกคนจะ recover?) และยอมไม่เปิดพรมแดนและประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ หรือ ดับเครื่องชน? กามิกาเซ่ (ที่เหมือนกับหลายคนหลังจากขังตัวเองอยู่ในบ้านอยู่พักใหญ่ๆ เริ่มรู้สึกแล้วว่าไม่มีทิศทางไปชัดเจน) ณ เมืองบูดาเปสต์ ยอดติดเชื้อที่สามพันหนึ่งร้อยห้าสิบคน สปากลางแจ้งและชนบทเริ่มปลดล๊อคแล้ว โอกาสทองของภูธร!!! ( ร้องออกมาหงอยๆ เพราะฉันอยู่บูดาเปสต์) เพียงอาทิตย์ต่อมา รัฐบาลก็ประกาศเปิดเมืองทุกอย่างในบูดาเปสต์ ร้านอาหารและร้านกาแฟ ร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดอีกครั้ง (ลดกระหน่ำแต่แทบไม่มีใครจับจ่าย เพราะคนต้องประหยัดเงิน นักท่องเที่ยวไม่มี และอีกสารพัดเหตุผลดำมืด) แต่ยังคงความปกติใหม่ที่ยังงงๆขาดๆตามสไตล์ประเทศโลกที่สอง(สินะ) ร้านอาหารไม่สามารถบริการข้างในได้ ต้องนั่งได้เพียงข้างนอก ( ร้านไหนไม่สะดวกเปิดข้างนอกได้ก็ปิดไป) และยังคงกฏคนแก่ช๊อปตอนเช้า คนหนุ่มสาว ( อ่อนกว่าหกสิบกว่า) ช๊อปได้หลังเที่ยง ที่คนบ่นว่าเละเทะ และกฏการใส่หน้ากากอนามัยในร้านและในรถไฟรถเมล์ต่างๆ พรมแดนเปิดเพียงแค่อียู ส่วนต่างชาติยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ (และเศรษฐกิจประเทศนี้พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบร้อยเปอร์เซนต์) ชีวิตที่ยังต้องกินใช้เป็นปกติไม่มีวันปกติอีกแล้ว เพราะงานที่เคยมีก็ไม่ปกติ (หายไปเลยเฉยๆ) ที่ทำได้คืออยู่ให้เป็นเท่านั้น สวัสดี New Normal เราจะอยู่ร่วมกับเธอไปอีกเท่าไหร่ไม่มีใครรู้......สวัสดีจากบูดาเปสต์!! ในรถไฟฟ้าที่ต้องมีกฏเหล็กให้สวมหน้ากากอนามัย หรือต้องมีผ้าปิดจมูกและปาก Gillert Hill ในวันที่ไม่ต้องแย่งถ่ายรูปวิวพอยท์กับบรรดานักท่องเที่ยว ปราสาทส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ใกล้กับ Hosok Ter ในวันแรกๆที่แทบไม่มีนักท่องเที่ยวช่วงโรคระบาด (ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน)