การท่องเที่ยวแบบดาร์ค ทัวริซซึม (dark tourism) หรือการเที่ยวใน "ที่มืด" ซึ่งหมายถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหตุสลดใจ ทั้งจากภัยธรรมชาติ หรือการฆ่าล้างกันเองด้วยน้ำมือมนุษย์ ในประเทศไทยอาจไม่เป็นที่นิยมนัก แต่แท้จริงแล้ว สถานที่ทางประวัติศาสตร์ หรือโบราณสถานหลายแห่งในประเทศไทย เป็นประจักษ์พยานชั้นดีในการบอกเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีต แม้ว่าหลายที่จะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่เราสามารถมองความทุกข์ในอดีตว่าเป็นบทเรียนสำคัญที่คนควรจดจำ และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดซ้ำ นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนอารมณ์หดหู่ หรือบรรยากาศเงียบงัน โศกเศร้า ให้เป็นกำลังใจ เป็นพลังต่อสู้ความชั่วร้ายและภัยรูปแบบต่าง ๆ ได้ในอนาคต สักการสถาน พระมารดาแห่งมรณสักขี ณ บ้านสองคอน ตำบลป่งขาม อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เป็นทั้งสถานที่ทำคริสต์ศาสนพิธี พิธีกรรมทางคริสตศาสนาทั่วไป และสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความทรงจำ และพลังของเหล่าวีรบุรุษ วีรสตรีชาวคริสต์ ผู้พร้อมพลีชีพและถวายตนรับใช้สิ่งที่ตนเห็นว่าถูกต้องและศรัทธา เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ลองมาดูกันว่าปัจจุบัน สถานที่นี้งดงาม และน่าชื่นชมด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่โดดเด่น ทรงพลังอย่างไร เราไปเยี่ยมชมในวันที่ฝนพรำเล็กน้อย แต่แสงแดดแห่งเมืองร้อน เมืองแล้งชายแดนภาคอีสานนี้ยังแรงพอที่จะช่วยให้ภาพออกมาสีสด งดงามอยู่ ทางขึ้นอาคารหลัก ประวัติโดยคร่าวของเรื่องราวและผู้คนที่เกี่ยวข้อง ในเว็ปไซต์ "Thailand Tourism Directory" ได้เขียนสรุปเรื่องราวไว้อย่างกระชับว่า "...เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก สร้างแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่มีความสวยงามและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2539 มีหุ่นขี้ผึ้งของนักบุญราศีทั้งเจ็ด ที่อุทิศชีวิตในป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อพิสูจน์ศรัทธาที่มีต่อพระเจ้า ทุกๆปี ในวันที่ 22 ตุลาคม จะมีพิธีเฉลิมฉลองรำลึกถึงการสถาปนาแต่งตั้ง "บุญราศีมรณะสักขี" และในวันที่ 16 ธันวาคมของทุกปี จะมีพิธีรำลึกบุญราศีสองคอน โบสต์คริสต์วัดสองคอน สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสักการะบุญราศีมรณสักขีทั้ง 7 ที่อุทิศชีวิตในป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อ พิสูจน์ศรัทธา ที่ มีต่อพระเจ้า เมื่อครั้งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากในระยะนั้นผู้คน แถบชายแดนจะศรัทธาและนับถือศาสนาคริสต์กันเป็นจำนวนมาก และบาทหลวงส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศส ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด คิดว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่งเศส จึงมีคนกล่าวหากันว่าคนที่นับถือคริสต์ช่วงนั้นจะฝักใฝ่ฝรั่งเศส ทรยศต่อประเทศชาติ รวมทั้งมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นหลายอย่าง ทางการจึงมีคำสั่งให้ชาวบ้านเลิกนับถือ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ยอมรับว่าจะเลิก แต่ก็ยังนับถือกันแบบลับๆ โดยมีซิสเตอร์พิลา ทิพย์สุข (อายุ 31 ปี) ซิสเตอร์คำบาง ศรีคำฟอง (อายุ 23 ปี) นายศรีฟอง อ่อนพิทักษ์ (อายุ 33 ปี) นางพุดทา ว่องไว (อายุ 59 ปี) นางสาวบุดสี ว่องไว (อายุ 16 ปี) นางสาวคำไพ ว่องไว (อายุ 15 ปี) และเด็กหญิงพร ว่องไว (อายุ 14 ปี) ที่ยังทำหน้าที่เป็นครูสอนคำสอนและไม่รับปากกับทางตำรวจว่าจะเลิกตำรวจจึงนำตัวทั้งหมดไปยิง จนเสียชีวิต" อ้างอิงจาก "https://www.thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/1106" (เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563) รูปปั้นที่เบื้องหลังมีภาพกระจกสีขนาดใหญ่ ดูยิ่งใหญ่ ช่วนฝัน และน่าศรัทธายิ่งนัก ภายโนโบสถ์เป็นห้องกว้าง โล่ง โปร่งสบาย เน้นประโยชน์การใช้สอยมากกว่าการตกแต่งให้สวยหรู แทนพิธีก็เรียบง่ายแต่งดงาม หากไปเที่ยวชมในช่วงที่มีมีพิธีกรรม ที่แห่งนี้สงบ ร่มเย็น น่าพักผ่อนจิตและกายเป็นอย่างยิ่ง ภาพเหล่าผู้สละชีวิต ภาพถ่ายจากหลังแท่นพิธี -- พื้นที่สีเขียวในโบสถ์ แม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะกว้างขวางและแห้งแล้วไปบ้าง แต่บางจุดพอมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา และโดยรวมตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ริมแม่น้ำโขงทำให้พอมีลมโชยมาให้เย็นเนื้อตัวบ้าง เป็นระยะ ๆ ใครแวะเวียนผ่านไปเที่ยว จ.มุกดาหาร เราแนะนำให้ไปเที่ยวชม เพราะไม่เพียงแต่จะได้ชื่นชมความงามทางสถาปัตยกรรม และการจัดพื้นที่บริเวณโดยรอบแล้ว นักท่องเที่ยวยังจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และรับรู้เรื่องราวในสถานที่จริงที่อาจเปลี่ยนมุมมอง ความคิด หรือความเข้าใจโลกให้เอื้อเฟื้อ เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และเห็นว่าพลังแห่งความศรัทธามีคุณค่าและทรงพลานุภาพเพียงใด คุณเองก็อาจได้บทเรียนใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิตได้ เพียงแค่ออกไปเที่ยวและเปิดใจไปในที่ ๆ แปลกใหม่ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ภาพหน้าปกโดยผู้เขียน อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ https://cities.trueid.net/@11246