หลาย ๆ ประเทศในยุโรปใช้มาตรการปิดเมือง Lockdown เพื่อหยุดยั้บการระบาดจากการเคลื่อนย้ายคนโดยเสรีข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ พรมแดนระหว่างประเทศในยุโรปติดกันทำให้การข้ามพรมแดนเป็นเรื่องที่ง่าย การควบคุมโรคจึงเป็นเรื่องยาก เราจะเห็นว่าประเทศที่มีผู้อพยพอาศัยเยอะอย่าง เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ ไปปิดพรมแดนชั่วคราว แต่ก็มีบางประเทศอย่างสวีเดนและเบลารุสที่ยืนยันจะไม่ปิดพรมแดน สาเหตุที่ประเทศเบลารุสยังคงไม่สั่งการให้ Lockdown นั้นมาจากปัจจัยจากเศรษฐกิจถดถอย ประธานาธิบดีเบลารุส อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโค ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากกว่าสิ่งอื่นใดที่ส่งผลเสียหายต่อ “เศรษฐกิจของประเทศ”จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้ต่อเนื่องยาวนานเป็นระยะเวลา 5 ปี หากปิดพรมแดนระหว่างประเทศจะทำให้อุตสาหกรรมชะงัก ส่งผลให้ประชาชนตกงาน ขาดรายได้ ยิ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศดิ่งลงสวัสดิการหรือ Social Safety Net รัฐก็ไม่สามารถจัดสรรได้อย่างเพียงพอหากประชาชนไม่มีรายได้และต้องพึ่งพารัฐเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะส่งผลร้ายแรงกว่าการยอมให้มีโรคระบาดเสียอีก แม้ว่าจะไม่ปิดประเทศแต่เบลารุสยังคงมีผู้ติดเชื้อในอัตราที่ต่ำ เพราะรัฐก็ไม่ได้นิ่งนอนใจจึงให้ความสำคัญกับการใช้สื่อในการควบคุมประชาชนที่ไม่มีเหตุจำเป็นกักตัวที่บ้าน และการตรวจหาผู้ที่อาจติดเชื้อ มีการใช้มาตรการให้ผู้เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงต้องกักตนเองเป็นเวลา 14 วัน ส่วนผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต้องเข้ารับการตรวจคัดกรอง ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่รัฐจัดหาให้เท่านั้น ไม่ใช่นั้นทางการจะสั่งดำเนินคดี ในอีกประเทศคือสวีเดน เรายังได้เห็นภาพประชาชนชาวสวีเดนออกมาใช้สวนสาธารณะ ร้านอาหาร ทั้งที่ประเทศใกล้เคียงอย่างนอร์เวย์และฟินแลนด์ต่างก็ใช้มาตรการปิดประเทศกันแล้ว อีกทั้งผู้ติดเชื้อก็พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากมีชาวสวีเดนที่พึ่งกลับมาประเทศอิตาลีตรวจพบเชื้อโควิด-19 ถึงกระนั้นรัฐบาลก็สั่งให้มีการควบคุมพื้นที่เช่นการควบคุมเวลาในการใช้สวนสาธารณะ และการงดร้านอาหารแบบบุฟเฟต์เท่านั้น นายกรัฐมนตรีสวีเดนใช้วิธีการขอความร่วมมือกับประชาชนในการระยะห่างทางสังคม Social Distancing และให้ประชาชนรับผิดชอบต่อส่วนรวม ในประเทศนี้จึงไม่ออกกฎหมายบังคับใช้ แต่ใช้วิธีการตามความสมัครใจของประชาชน ในมุมมองของของรัฐการใช้มาตรการปิดเมืองคือการควบคุมระยะสั้น การกำจัดเชื้อให้หมดไปต้องพึ่งพาการคิดค้นวัคซีนเท่านั้น นี่อาจจึงเป็นแนวทางของประเทศสวีเดนที่มีความเป็นปัจเจคนิยมสูง แนวทางนี้จึงอาจจะเหมาะกับบริบทของประเทศที่มีประชากรเป็นจำนวนน้อย ประมาณ 10 ล้านคนและส่วนใหญ่เป็นประชากรที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน 17-35 ปี ย้ายออกไปอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่กับครอบครัวจึงไม่น่าเป็นห่วงในเรื่องการแพร่เชื้อให้ผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ชาวสวีเดนเป็นแรงงานอพยพที่มาจากประเทศอื่นในยุโรป ที่ได้รับเชื้อจากการเดินทาง แนวทางการจัดการในแต่ละประเทศที่ต่างกันก็เพื่อให้รองรับกับบริบททางสังคมทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางสังคม ดังนั้นแล้วระยะเวลาในตอนนี้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าทิศทางของโลกใบนี้ควรดำเนินไปอย่างไร Cover Photo by Ignacio Brosa on Unsplash ภาพประกอบจาก Canva Application for Free Photo ภาพประกอบที่ 1/ ภาพประกอบที่ 2/ ภาพประกอบที่ 3