หลายคนคงเห็นข่าวเกี่ยวกับ CPTPP ที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน ผู้คนต่างให้ความสนใจกับมันมากจน #NoCPTPP ติดเทรนด์อันดับต้นๆในทวิตเตอร์ ซึ่งไม่ว่าจะอาชีพไหน วัยไหน ทุกคนต่างให้ความสนใจและแสดงความคิดความเห็นของตัวเอง บทความนี้จะมาพูดถึงประเด็นสำคัญทุกแง่มุมเกี่ยวกับ CPTPP ที่คนไทยทุกคนควรรู้ CPTPP คืออะไร? CPTPP ย่อมาจาก Comprehensive and Progressive Agreement for Tran-Pacific Partnership กล่าวให้เข้าใจกันง่ายๆก็คือ ข้อตกลงร่วมกันในเรื่องของการค้าเสรีและการลงทุนระหว่างประเทศในพื้นที่แปซิฟิก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ความเป็นมา CPTPP มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2006 และลงนามในปี 2016 โดยการนำของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โอบาม่า มีจุดประสงค์เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมให้เศรษฐกิจและนวัตกรรมเติบโต เกิดการจ้างงานมากขึ้น คุ้มครองแรงงานและสิ่งแวดล้อม และลดความยากจนในประเทศ จะเห็นได้ว่าระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการลงนานใช้เวลานานกว่า 10 ปี นั่นเป็นเพราะเกิดข้อพิพาทเรื่องการเกษตรกรรม ทรัพย์สินทางปัญญา การบริการ และการลงทุน แต่สุดท้ายก็สามารถลงนามได้สำเร็จ แต่เดิมใช้ชื่อว่า TPP (Trans-Pacific Partnership) มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 12 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี เวียดนาม ญี่ปุ่น บรูไน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ต่อมาในปี 2018 สหรัฐอเมริกาได้ถอนตัวออกไป โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามภายหลังจากการรับตำแหน่งเพียง 3 วัน เพื่อถอนตัวออกจากการเป็นประเทศสมาชิกจากการที่รัฐบาลอดีตของประธานาธิบดี โอบาม่า ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ โดยให้เหตุผลว่า “ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้อเมริกาสูญเสียตำแหน่งงานจำนวนมาก” ดังนั้นปัจจุบัน CPTPP จึงเหลือประเทศสมาชิกอยู่ 11 ประเทศ แต่หลังจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงนี้ไปทำให้ขนาดพื้นที่ของเศรษฐกิจของ CPTPP ลดลงจาก 38% เหลือเพียง 11% ของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามประเทศสมาชิกอย่างออสเตรเลียและญี่ปุ่นก็พยายามช่วยกันประคับประคองเพื่อรักษาข้อตกลงนี้ไว้ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาในการเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกใหม่ CPTPP จะส่งผลต่อเรื่องอะไรบ้าง? หากประเทศไทยเข้าร่วมข้อตกลงนี้จะครอบคลุมประเด็นต่างๆทั้งการการค้า เศรษฐกิจ การการเปิดตลาดของประเทศ การลงทุน การกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อพิพาทระหว่างรัฐบาล และนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศของเราด้วย หากมองประเด็นการค้าใน CPTPP ก็สำคัญไม่น้อย หากไทยเราเข้าร่วมข้อตกลงนี้จะมีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรที่ครอบคลุมสินค้าและบริการกว่า 98% ของตลาดร่วม และยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า ซึ่งแม้ว่าหลายภาคส่วนอาจเห็นด้วยกับการยกเลิกการจัดเก็บภาษีดังกล่าวเนื่องจากเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศสมาชิก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว แต่ทว่าก็มีภาคธุรกิจบางส่วนที่จะต้องสูญเสียผลประโยชน์จากข้อตกลงนี้ เช่น ธุรกิจบริการ อุตสาหกรรมการเกษตรและการสาธารณสุข สำหรับภาคธุรกิจบริการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจท่องเที่ยว ภายใต้ข้อตกลง CPTPP ได้ใช้เงื่อนไขการเจรจาแบบ Negative List หมายความว่าประเทศสมาชิกสามารถระบุประเภทของธุรกิจบริการที่ไม่ต้องการเปิดเสรีได้และสำหรับประเภทของธุรกิจบริการอื่นๆที่ไม่ได้ระบุในข้อตกลงต้องเปิดเสรีให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนทำธุรกิจได้ แล้วมันส่งผลอย่างไรต่อภาคธุรกิจบริการในไทย? เนื่องจากปกติแล้วประเทศไทยค่อนข้างไม่เปิดเสรีในเรื่องของธุรกิจบริการ ดังนั้นหากไทยทำตามข้อตกลงนี้นั่นก็เป็นการบังคับให้ไทยจะต้องเปิดให้นักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในบางธุรกิจบริการ และไทยอาจต้องเผชิญสภาพการแข่งขันที่หนักหน่วงกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามา ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรก็อาจได้รับผลกระทบทางลบไม่น้อย เพราะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มากขึ้นเช่นเดียวกับภาคธุรกิจบริการ โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรจากประเทศสมาชิกอย่างแคนาดา เช่น ปุ๋ย และถั่วเหลือง จะเข้ามาค้าขายแข่งขันในประเทศไทย นอกจากนี้ ข้อตกลง CPTPP ยังให้ประเทศสมาชิกเข้าร่วมในอนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ หรือ UPOV ที่จะเปิดช่องให้ต่างชาติสามารถเข้ามานำพันธุ์พืชพื้นเมืองของไทยไปทำการวิจัยและสร้างพันธุ์ใหม่รวมถึงพันธุ์พืช GMO แล้วขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรได้ ซึ่งกรณีนี้ถือว่าส่งผลต่อเกษตรกรไทยโดยตรงเพราะหากเกษตรกรไทยนำพันธุ์พืชใหม่นี้มาปลูกแล้วจะไม่สามารถนำเมล็ดไปปลูกซ้ำต่อได้ และจะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่เพื่อมาปลูกเท่านั้น ทำให้ต้นทุนทางการเกษตรยิ่งสูงขึ้น!! พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายพืชผักก็ต้องขายในราคาที่แพงขึ้น นอกจากนี้ธุรกิจฟาร์มสุกร ฟาร์มไก่ หรือ ธุรกิจอื่นๆที่ต่อเนื่องจากอุตสหกรรมการเกษตรก็อาจได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย ทางด้านสาธารณสุข ข้อตกลงนี้จะทำให้เกิดการผูกขาดข้อมูลยา กล่าวคือ หลังจากที่ยาต้นแบบหมดสิทธิบัตรแล้วจะบริษัทยาสามัญอื่นๆในประเทศจะไม่สามารถใช้ข้อมูลยาต้นแบบในการผลิตยาสามัญได้ ซึ่งส่งผลให้การแข่งขันของบริษัทยาสามัญลดลง คนไทยก็ไม่สามารถใช้ยาในราคาต่ำลงได้ สรุปแล้วถ้าหากประเทศไทยเข้าร่วม CPTPP คนไทยจะได้หรือเสียผลประโยชน์อะไรบ้าง 1. “ไทยจะได้อะไรบ้าง” - เพิ่มการส่งออกสินค้าของไทยไปยังประเทศสมาชิกอื่นของ CPTPP เช่น สินค้านวัตกรรมและวัตถุดิบที่ราคาต่ำลง เป็นต้น - สินค้าไทยมีโอกาสแข่งขันกับตลาดคู่ค้ามากขึ้น - เพิ่มโอกาสที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าต่างๆ - ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรและด้านแรงงานในระยะยาว - GDP ของประเทศเพิ่มขึ้น - มีการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 2. “ไทยจะเสียอะไรบ้าง” - ต้นทุนสำหรับเกษตรกรไทยจะเพิ่มสูงขึ้นจากอนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่(UPOV) - ไทยต้องเตรียมรับมือกับปริมาณนักลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าประเทศมากขึ้น - ธุรกิจภายในประเทศจะเสียประโยชน์ให้กับต่างชาติ - นักลงทุนต่างชาติสามารถฟ้องร้องรัฐบาลไทยได้ - ราคายาและค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น - ประชาชนมีค่าใช้จ่ายจำเป็นที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามต่างคนต่างความคิดเห็น ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้หลังจากที่อ่านบทความนี้จบแล้ว หลายๆเสียงให้ความเห็นคัดค้านจนกลายเป็น #NoCPTPP ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อีกครั้ง โดยประเด็นหลักๆคือเรื่องข้อกังวลของเกษตรกรไทย โดยการกำจัดสิทธิไม่ให้เกษตรกรนำเมล็ดพืชไปปลูกต่อรวมถึงการขยายสิทธิผูกขาดผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ได้ ดังนั้นถึงเวลาที่เราจะตั้งคำถามกลับว่าประเทศไทยของเราพร้อมหรือยังในการเข้าร่วม CPTPP ผลประโยชน์ที่ได้รับจะคุ้มหรือไม่กับผลเสียที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับข้อเท็จจริงและความคิดเห็นของคนไทยทุกคนที่จะเป็นกระบอกเสียงในการพิจารณาคัดค้านหรือผลักดันข้อตกลงนี้ ขอบคุณข้อมูลจาก https://library2.parliament.go.th/ebook/content-issue/2561/hi2561-074.pdf ขอบคุณภาพทั้งหมดจาก https://pixabay.com/th/ ภาพที่1/ภาพที่2/ภาพที่3