กระเจี๊ยบ หรือ กระเจี๊ยบแดง มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Hibiscus sabdaiffa L. และมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Jamaica sorrel หรือ Roselle กระเจี๊ยบมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่แอฟริกาตะวันตก ต้นกระเจี๊ยบชอบแดดจัดๆ และเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นพอเหมาะ จึงปลูกได้ง่ายๆที่ประเทศไทย ลักษณะทางพฤกศาสตร์ • เป็นไม้พุ่ม ต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีขนตามกิ่งและก้านและมีสีม่วงแดง ใบกระเจี๊ยบเป็นใบเดี่ยว ดอกของกระเจี๊ยบมีสีขาวเหลือง กลางดอกสีม่วงแดง • ลำต้น เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก เปลือกต้นบาง ต้นอ่อนมีสีเขียว ต้นแก่มีสีม่วงอมแดง • ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกสลับกันตามกิ่ง ใบมีลักษณะคล้ายใบเลื่อยเว้าลึก หรือทรงรีขอบเรียบ ก้านใบยาว มีสีเขียว มีขนใบเล็กๆ • ราก เป็นระบบรากแก้ว มีลักษณะกลมเล็กๆ มีรากแขนง และรากฝอยออกรอบๆ • ดอก เป็นดอกเดี่ยว มีลักษณะทรงกรวย กลีบดอกมีสีชมพู หรือสีเหลือง ก้านช่อดอกสั้น • ผล มีลักษณะทรงกลมรี มีกลีบเลี้ยงหนาสีแดงเนื้อฉ่ำน้ำหุ้มอยู่ มีรสชาติเปรี้ยว ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่มีสีน้ำตาลจะแห้งแตก มีเมล็ดอยู่ข้างใน สรรพคุณของกระเจี๊ยบ • กระเจี๊ยบมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระทั้งสารในกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ และสารในกลุ่มแอนโธไซยานิน สารพฤกเคมีดังกล่าวมีสรรพคุณในการลดไข้ ต้านการอักเสบ • ลดความดันโลหิต • ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ • ลดน้ำตาลในเลือด • ลดไขมันในเลือด • ป้องกันโรคหัวใจ สารสำคัญชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในกระเจี๊ยบแดง กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอกมีสารสีแดงจำพวกแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) และกรดอินทรีย์ เช่น กรดแอสคอบิก (ascorbic acid) กรดซิตริก (citric acid) กรดมาลิก (malic acid) และกรดทาร์ทาริก (tartaric acid) กระเจี๊ยบแดงมีสารต่างๆ ดังที่กล่าวมา จึงทำให้กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่หลากหลาย อาหารจากกระเจี๊ยบแดง • ยำดอกกระเจี๊ยบแดง • ใบกระเจี๊ยบแดงผัดไข่ • น้ำกระเจี๊ยบ • กระเจี๊ยบแดงผัดกะปิ • แยมกระเจี๊ยบ • กระเจี๊ยบหยี ข้อควรระวัง * ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง * • ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานาน เนื่องจากการทดลองในสัตว์ พบว่า ทำให้เกิดพิษต่อเซลล์ของอัณฑะ และตัวอสุจิได้ • ในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานาน