ผู้คนที่อาศัยอยู่บนตึกสูงต่างรู้ดี หากใครพูดถึง นกพิราบ (Pigeon) หลายคนนึกถึงสัตว์ปีกตัวกวนที่คอยสร้างความรำคาญให้กับชาวคอนโดมิเนียม หรือไม่ก็ฝูงนกที่บินโฉบไปโฉบมาเวลาเราไปให้อาหารปลาที่วัด จนบางครั้งต้องพลอยโยนเศษขนมปังให้นกพิราบมากกว่าโยนให้ปลาด้วยซ้ำไป ยังไม่นับว่ามันเป็นสัตว์พาหะนำโรคอีกหลายชนิดมาสู่คนอีก เรียกได้ว่าสมัยนี้นกพิราบดูจะไม่ถูกชะตากับพวกเรามากนัก แต่บทความนี้จะนำเรื่องราวน่าประทับใจของนกพิราบในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์กันเลยทีเดียวและเช่นเคยเราต้องมาทบทวนความจำกันสักเล็กน้อย สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในช่วงปี 1914-1918 ชนวนเหตุสำคัญคือ มกุฏราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกลอบปลงพระชนม์ โดยเชื่อว่าเซอร์เบียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรปที่ปะทุขึ้นประปรายบ้างแล้วในช่วงนั้นจึงทำให้สงครามโลกก่อกำเนิดขึ้นในที่สุด สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายมหาอำนาจไตรภาคี นำโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และจักรวรรดิญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกาเข้ามาร่วมในภายหลัง กับอีกฝ่ายหนึ่งคือ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง นำโดยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิเยอรมนี จักรวรรดิออตโตมานและบัลแกเรียแล้วนกพิราบเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้อย่างไร ต้องบอกก่อนว่าในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังทำสงคราม นกพิราบหลายแสนตัวถูกจับเพื่อนำไปใช้งานในกองทัพ ทำหน้าที่เป็นนกพิราบสื่อสารและการจารกรรมข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม มีเรื่องราวที่บันทึกเอาไว้โดยทหารชาวอเมริกันเกี่ยวกับนกพิราบเพศเมียตัวหนึ่ง วีรกรรมเด็ดของมันคือการช่วยชีวิตทหารอเมริกันกว่าพันนายให้รอดจากการบุกล้อมของกองทัพเยอรมนี เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปเขียนเป็นหนังสือ เป็นเรื่องเล่าสุดประทับใจที่ชาวอเมริกันเอาไว้สอนเด็กรุ่นหลังให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสงครามโลกที่เคยเกิดขึ้นเรื่องนี้เกิดขึ้นที่แนวรบป่าอาร์กอนน์ (Argonn Forest) ขณะที่กองทัพสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสกำลังบุกเข้าไปยังฐานทัพของกองทัพเยอรมนี แต่ไม่รู้ไปบุกเอาท่าไหนจึงติดกับ กลายเป็นทำให้กองทัพของตัวเองถูกล้อมด้วยศัตรูรอบด้าน จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ชะตากรรมของกองทัพอเมริกันครั้งนั้นคือทำได้เพียงสวดมนต์ต่อพระเจ้าและรอให้ศัตรูมาปลิดชีวิต เคราะห์ซ้ำกรรมซัดด้วยความผิดพลาดทางการสื่อสาร กองทัพอเมริกันยังถูกฐานทัพใหญ่ฝ่ายเดียวกันยิงปืนใหญ่มายังบริเวณที่ซ่อนตัวอีกด้วยต่างหากเมื่อสถานการณ์เริ่มเข้าขั้นวิกฤติ ถูกล้อมจากข้าศึกยังไม่พอ ต้องคอยหลบลูกปืนของฝ่ายเดียวกันที่ยิงผิดมาอีก ทำให้ผู้พันชาร์ลส์ วิทเทิลซีย์ (Whittlesey) ผู้นำกองทัพสหรัฐอเมริกาต้องงัดไม้ตายท่าสุดท้ายออกมา คือการส่งจดหมายไปกับนกพิราบ เพื่อไปบอกฐานทัพใหญ่ว่ากำลังยิงปืนใหญ่ใส่ฝ่ายเดียวกันอยู่ แต่เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเพราะนกพิราบเหลืออยู่เพียง 3 ตัว พวกทหารเยอรมนีก็คอยจ้องจะสอยนกพิราบสื่อสารอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเมื่อส่งจดหมายไปกับนกพิราบตัวแรกและตัวที่สอง พวกมันถูกทหารเยอรมนียิงตายไปตามระเบียบ ความหวังอยู่ที่นกพิราบตัวที่ 3 ซึ่งมันมีชื่อว่า แชร์ อามี (Cher Ami)ผู้พันวิทเทิลซีย์นำจดหมายผูกติดกับขาของแชร์ อามีแล้วปล่อยมันขึ้นฟ้า และเช่นเดียวกัน พิราบตัวสุดท้ายถูกทหารเยอรมนีรัวกระสุนจนขาขาดไปข้างหนึ่ง ตาบอดไปหนึ่งข้างจนร่วงลงสู่พื้นตามนกอีกสองตัวไปติด ๆ กองทัพอเมริกันยอมรับชะตากรรมและถอดใจกันไปหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแชร์ อามีห้อยพระอะไร เพราะอยู่ดี ๆ มันก็ฟื้นขึ้นมาแล้วบินต่อได้อย่างปาฏิหาริย์ ในที่สุดมันก็ทำภารกิจสำเร็จ จดหมายถูกส่งไปยังฐานทัพใหญ่และปืนใหญ่เปลี่ยนทิศทางไปถล่มกองทัพเยอรมนีจนต้องหนีตายกันแบบอลหม่าน กองทัพอเมริกันรอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเพราะวีรกรรมเด็ดของแชร์ อามีนกพิราบแชร์ อามีได้รับการรักษาและใช้ชีวิตต่อได้สักพักหนึ่ง แถมยังได้รางวัลและเลื่อนยศจากกองทัพสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส นอกจากนี้มันยังเป็นมาสค็อตให้กับสมาคมนกพิราบแห่งสหรัฐอเมริกาอีกด้วย จนเมื่อมันตายลงได้มีการนำร่างไปสตัฟฟ์ไว้และเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียนในสหรัฐอเมริกา เพื่อแสดงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการเรียนรู้สงครามโลกครั้งที่ 1 ใครที่อยากเห็นแชร์ อามี ตัวจริงก็สามารถคลิกเข้าไปที่ลิงก์ Cher Ami ได้เลย และนี่เป็นเรื่องราวสุดประทับใจของนกพิราบตัวเล็ก ๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ ช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะพ่ายแพ้ให้พลิกกลับมาเป็นผู้ชนะเหมือนหนังที่หักมุมตอนจบไม่มีผิดรูปภาพหน้าปก โดย Tim Mossholder : Unsplashภาพประกอบที่ 1 โดย 903115 : Pixabayภาพประกอบที่ 2 โดย Sanjiv Nayak : Unsplashภาพประกอบที่ 3 โดย Burtamus : Pixabayภาพประกอบที่ 4 โดย Taneli Lahtinan : Unsplashเรื่องราวเพิ่มเติมของ Cher Ami : The Story Behind