ภาพยนตร์เรื่อง Splitเรื่องย่อ เรื่องราวของเรื่องเริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังเลิกเรียนของเด็กสาวสามคนคือเคซี่ย์ คุก (Casey cook) แคลร์ (Claire) และมาร์เซีย (Marcia) เด็กสาวทั้งสามคนถูกชายปริศนาลักพาตัวมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตระหว่างทางกลับบ้านโดยไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่เขาจับพวกเธอมาไว้ในห้องใต้ดินนี้คืออะไร พวกเธอถูกขังไว้ในห้องแคบ มีเพียงเตียงให้นอนพักและห้องน้ำให้ขับถ่าย บ่อยครั้งชายปริศนาจะเข้ามาหาพวกเธอ พูดคุยเรื่องทั่วไปและนำอาหารมาให้ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคลิกลักษณะของเขา ในบางครั้งเขามาในบุคลิกลักษณะของชายท่าทางเคร่งเครียดรักความสะอาด แม่ชีหญิงเคร่งศาสนาที่คล้ายจะโอบอ้อมอารีย์ หรือในท่าทีของเด็กชายวัยไม่ถึงสิบขวบที่อยากรู้อยากเห็นและถามโน่นนี่ด้วยความสงสัย ในขณะที่แคลร์และมาร์เซียพยายามต่อสู้และหลบหนีด้วยความหวาดกลัว อีกหนึ่งเด็กสาวคือ เคย์ซี่กลับนิ่งเฉยและพยายามหาทางเอาตัวรอดในวิธีที่แตกต่างจากเพื่อนทั้งสองคนของเธอ เธอเริ่มเรียนรู้ชายปริศนาที่จับพวกเธอมานั้นไม่เหมือนคนทั่วไป ในบางครั้งเขาเป็น Dennis ชายจอมบงการวางอำนาจรักความสะอาด Patricia หญิงสาวอายุมากมาในลักษณะแบบแม่ผู้คอยดูแล และHedwig เด็กชายเก้าขวบที่ดูอ่อนแอใสซื่อ การเผชิญหน้าอย่างแปลกประหลาดซ้ำๆนี้เองที่ทำให้พวกเธอได้รู้ว่าชายปริศนาที่จับพวกเธอมาแท้จริงแล้วมีหลายบุคลิกในตัวจากที่เขากล่าวอ้างโดยแต่ละบุคลิกสับเปลี่ยนเวียนวนกันออกมาเป็นครั้งคราว บางบุคลิกในตัวเขาก็ดูราวกับจะเป็นคนดี บางบุคลิกก็น่าเคลือบแคลงสงสัย จนในที่สุดเคซี่ย์ก็ได้เห็นคลิปของบุคลิกทั้ง 23 บุคลิกของชายปริศนาที่ได้อัดไว้ในแต่ละบุคลิก ในเรื่องพวกเขา (ชายปริศนา) มีจิตแพทย์ประจำตัวคือ ดร.เฟล็ทเชอร์ (Dr. Karen Fletcher) เธอเชื่อว่าสิ่งที่คนไข้ของเธอเป็นอยู่นั้นไม่ใช่ความบกพร่องแต่เป็นความสามารถของสมองตอบสนองกับสิ่งหนึ่งเพื่อป้องกันตนเองจากความกลัวหรือภยันตรายและได้อธิบายว่าโรคของเขาเป็นโรคที่บุคลิกต่างๆวนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันออกมาเป็นตัวตนอัตลักษณ์ที่ต่างกัน โดยที่เคมีในร่างกายของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานภาพ กล่าวคือ อายุ, เพศสภาพ, เชื้อชาติ, ลักษณะท่าทาง ตลอดจนคำพูดและน้ำเสียงที่ใช้ของแต่ละบุคลิกจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้บุคลิกที่แสดงออกมาจะผันแปรไปตามสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ โดย Barry เกย์หนุ่มผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นสไตลิสต์ออกแบบเสื้อผ้า และแฟชั่นนิสต้า เดิมเป็นบุคลิกที่คอยควบคุมบุคลิกอื่นและมักจะเป็นคนที่ไปพบกับจิตแพทย์อยู่เสมอ แต่ชายที่ไปพบกับจิตแพทย์ประจำตัวของเขาในเรื่องเป็น Dennis ที่ทำตัวให้เหมือน Barry ดร.เฟล็ทเชอร์เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของคนไข้จากการมาพบและข้อความที่ขอความช่วยเหลือจากบุคลิกอื่นๆรวมถึงจากคำบอกเล่าของ Dennis ที่ยอมรับว่าเป็นตนเองที่มาพบแพทย์แทน Barry ทำให้เธอพบว่านอกจาก 23 บุคลิกแล้วยังมีอีกบุคลิกหนึ่งเป็นบุคลิกที่ 24 ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ บุคลิกอันน่ากลัวที่เขาเรียกมันว่า “เดอะบีสต์ (The Beast)” ที่พยายามควบคุมบุคลิกอื่นๆด้วย บุคลิกนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กสาวทั้งสามคนถูกลักพาตัวมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อรอวันที่ The Beast จะปรากฏร่างออกมาและทำอะไรบางอย่างกับพวกเธอ ในขณะที่เคย์ซี่ติดอยู่ในชั้นใต้ดินก็จะมีเรื่องราวในสมัยที่เคย์ซี่อายุห้าขวบในครั้งที่เธอไปเข้าป่าล่าสัตว์กับพ่อและอาของเธอเป็นแฟลชแบล็คมาเรื่อยๆ เมื่อ The Beast ปรากฏกายออกมาก็ได้ทำร้ายเพื่อนของเธอและแพทย์ประจำตัวของพวกเขาที่พยายามจะหยุดยั้งเขาพร้อมทั้งเขียนวิธีเรียกบุคลิกหลักของชายคนนี้นั่นคือเรียกเขาว่าเควิน เวนเดล ครัมบ์ (Kevin Wendell Crumb) เควินผู้ที่ถูกแม่ทำร้ายและพ่อเสียชีวิตจากไปทำให้ไม่สามรถปกป้องเขาได้อีกเขาจึงแยกตัวตนออกมาหลากหลายบุคลิก เมื่อเคย์ซี่ทำตามแพทย์ประจำตัวของพวกเขาที่เขียนบอกไว้ เควินก็ได้ปรากฏออกมาและบุคลิกอื่นก็ออกมาด้วยแต่สุดท้ายเควินก็ถูกทำให้หลับไปและ The Beast ก็ออกมาเพื่อไล่ล่าเคย์ซี่ เธอไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้เลย ร่างกายของเขาแข็งแกร่งและเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างรวดเร็วราวกับสัตว์ป่าแต่เมื่อเขาเห็นว่าเคย์ซี่เองก็มีบาดแผลที่ตัว เขาจึงปล่อยเธอไปเพราะเขาเชื่อว่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการถูกทำร้ายที่พวกเขาได้รับนั้นทำให้พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ร่องรอยเหล่านั้นของเคย์ซี่ทำให้เขาได้รู้ว่าเธอก็เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกันตามมุมมองของ The Beast ตัวเคย์ซี่เองเธอก็ถูกทำร้ายและถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอาของเธอ ในตอนสุดท้ายของเรื่องเธอกำลังตัดสินใจในเรื่องการกลับไปหาอาของเธอหรือไม่และ The Beast เองยังคงไม่หยุดเพียงเท่านี้ วิเคราะห์ตัวเอก!1. Kevin Wendell Crumb เควิน เวนเดล ครัมป์ (Kevin Wendell Crumb) เป็นบุคลิกหลักที่ มีนิสัยอ่อนแอ ถูกรังแกได้ง่าย ในภาพยนตร์เรื่อง Split นั้น เราได้รู้ว่า แม่ของเควินได้ทำร้ายร่างกายเขา หลังจากที่พ่อของเควินหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาจึงต้องเติบโตขึ้นมาด้วยความทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของแม่ที่ทำร้ายเขา ทำให้เควินตอบสนองสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการสร้างบุคลิกต่าง ๆ ขึ้นมามากมายเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งในปกติเขามักถูกทำให้หลับเพราะไม่สามารถควบคุมบุคลิกต่าง ๆ ให้เชื่อฟังได้ 2. Barry S. แบร์รี่ นั้นคือ บุคลิกที่มักจะเป็นคนที่ไปพบกับจิตแพทย์อยู่เสมอ ๆ โดยที่เขาเป็นคนควบคุมบุคลิกอื่น ๆ จนกระทั่งเขาถูกครอบงำโดยบุคลิกอื่น ๆ โดยแบร์รี่นั้นเป็นบุคลิกที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแฟชั่น และการออกแบบ เขาเป็นสไตลิสต์ออกแบบเสื้อผ้า เป็นผู้นำที่เปิดเผย ใส่ใจ และมั่นคงกับงาน เขามักหลงลืมเวลา เขาเป็นเกย์หนุ่มผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เราจะได้เห็นแฟ้มสะสมผลงานของเขาปรากฎอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Split นอกจากนั้นแล้วเขานี่เองก็ยังเป็นบุคลิกที่ส่งอีเมลไปยังจิตแพทย์เพื่อเตือนเกี่ยวกับบุคลิกอื่น ๆ ที่อาจจะสร้างอันตรายต่อคนอื่นได้ 3. Dennis เดนนิส คือ เป็นบุคลิกที่จะออกมาปกป้องบุคลิกอื่น ๆ เมื่อตัวเควินตกอยู่ในอันตราย ปกติใส่แว่น เป็นคนเจ้าระเบียบ เป็นบุคลิกแรกที่เราได้รู้จักในภาพยนตร์เรื่อง Split โดยในตอนต้นเรื่องเขาคือบุคลิกที่ลักพาตัวเด็กสาววัยรุ่นทั้ง 3 คนไป จนกระทั่งภาพยนตร์ดำเนินเรื่องไปเราก็ได้รู้ว่าเขามีความชื่นชอบที่จะได้เห็นเด็กสาวเต้นรำและแก้ผ้าให้เขาดู ในขณะเดียวกันนั้นบุคลิกอื่น ๆ ก็พยามที่จะกีดกันไม่ให้เขาได้ปรากฎตัวออกมา เดนนิสมีอาการชอบใช้ความรุนแรง และหมกมุ่นในเรื่องของความสะอาด ซึ่งเขาและบุคลิกที่ชื่อ Patricia คือ 2 บุคลิกที่คอยดูแลบุคลิกอื่น ๆ 4. Ms. Patricia แพทริเซีย คือบุคลิกของหญิงสาวที่มีอายุมากหน่อย เธอคือหญิงสูงอายุที่พยายามจะคอยดูแลบุคลิกอื่น ๆ ให้อยู่ในร่องในรอย เธอเป็นผู้หญิงคลั่งศาสนา ส่วนใหญ่แล้วเธอจะมีลักษณะของคนที่ใจเย็นดูอารมณ์ดี และสุภาพในแบบของคนเป็นแม่ แต่เธอจะมีความเป๊ะที่เป็นแบบ Perfectionism เธอชื่นชอบการทำอาหาร ฉากที่ค่อนข้างจะดีเยี่ยมสำหรับบุคลิกนี้ก็คือ ฉากที่เธอหัวเสียในระหว่างที่กำลังตัดแซนวิช ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้ แพทริเซีย เป็นบุคลิกที่แบร์รี่พยายามกันไม่ให้เข้ายึดครองร่างเช่นกัน 5. Hedwig เฮดวิก เป็นบุคลิกเด็กน้อยใสซื่ออายุเพียง 9 ขวบ เขามักทำตัวเป็นเด็ก มีท่าทางคล้ายเด็ก ชอบเต้น เวลาว่างชอบวาดรูปและฟังเพลง มักอยู่ในโอวาทของเดนนิสและแพทริเชีย เขาเข้าควบคุมร่างของเควินได้เมื่อไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ เฮดวิกกลายเป็นเพื่อนของ Casey หนึ่งในเด็กสาวที่ถูกจับตัวมาในภาพยนตร์เรื่อง Split นอกจากนี้แล้วเขายังเป็นแฟนตัวยงของคานเย่ เวสต์ด้วย 6. Jade เจด คือหนึ่งในบุคลิกที่แสนหลากหลายที่ปรากฎตัวในวีดีโอที่ถูกบันทึกไว้ เราไม่ทราบว่าเขาเป็นบุคลิกที่อายุเท่าไร แต่เธอแสดงออกเหมือนเป็นเด็กสาวในช่วงวัยรุ่น เจดบอกในวีดีโอนั้นว่าเธอเป็นเบาหวานและกำลังใช้ยาอินซูลินในการรักษาโรคนั้นอยู่ 7. Orwell ออร์เวลคือหนึ่งในอีกบุคลิกที่ปรากฎตัวในคลิปวีดีโอที่เขาบันทึกไว้ เขาคือคนที่อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับบุคลิกต่าง ๆ ให้กับ Casey ฟัง ในคลิปนั้นอธิบายว่าเขาคือนักประวัติศาสตร์ และเขาไม่ต้องการให้ The Beast ถูกปลดปล่อยออกมา 8. The Beast The Beast คือ บุคลิกที่ 24 ของเควิน เป็นร่างที่พัฒนาจนถึงขั้นสูงสุด เป็นบุคลิกที่ร้ายกาจที่สุดและปรากฎตัวในตอนท้ายของภาพยนตร์เรื่อง Split หลังจากที่เควินได้ไปวางดอกไม้บนหลุมศพของพ่อของเขา ร่างกายของเขาก็ได้กลายเป็น the Beast นั่นทำให้ร่างกายของเควินมีพละกำลังเหนือมนุษย์ สามารถที่จะไต่กำแพง วิ่งได้อย่างรวดเร็ว หรือแทบจะแหกลูกกรงได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้แล้ว the Beast ยังก่อเหตุฆาตกรรมและกินร่างของเด็กหญิง 2 คนที่ถูกลักพาตัวมา ตามรายงานของตำรวจนั้น บุคลิกของ the Beast นั้นเกิดจากการผสมผสานบุคลิกของสัตว์ต่าง ๆ ในสวนสัตว์ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขาDissociative Disorderชื่ออื่น Hysterical Neurosis, Dissociative Typeลักษณะสำคัญของโรค คือ ผู้ป่วยมีความผิดปกติเกี่ยวกับ สติสัมปชัญญะ ความจำ เอกลักษณ์ หรือการรับรู้ภาวะแวดล้อม โดยมีสาเหตุจากผู้ป่วยประสบเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิต เช่น ปัญหาครอบครัว อุบัติเหตุหรือ ภัยธรรมชาติ โดยอาจเป็นทันทีหรือค่อยไปเป็น และอาการอาจเป็นเพียงชั่วคราว หรือเรื้อรัง โรคที่สำคัญในกลุ่มมี 4 ชนิด คือDissociative AmnesiaDissociative FugueDissociative Identity Disorder (Multiple Personality Disorder)Depersonalization Disorderโดยตัวเอกของเรื่องนั้น มีอาการของโรคประเภทที่ 3 นั้นก็คือ Dissociative Identity Disorder หรือ Multiple Personality Disorderลักษณะสำคัญของโรค คือ ผู้ป่วยมีเอกลักษณ์ (Identities) สองแบบหรือมากกว่า และผู้ป่วยจะลืมเรื่องราวสำคัญ ๆของตน อาการเกิดภายหลังผู้ป่วยประสบการเหตุการณ์ร้ายแรง ผู้ป่วยจะมีบุคลิกภาพสองชนิดหรือมากกว่าในตัวคนเพียงคนเดียว โดยที่ในขณะใดขณะหนึ่งจะมีบุคลิกภาพหนึ่งที่เด่นชัดกว่าบุคลิกภาพอื่นแต่ละบุคลิกภาพจะมีความสมบูรณ์คือ มีความจำ ความชอบ และพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งอาจจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับบุคลิกภาพเดิม ในกรณีที่ไม่สามารถแบ่งแยกบุคลิกภาพต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์หรือเด่นชัด ก็ให้จัดผู้ป่วยนั้นไว้ในกลุ่มของ "Other dissociative disorders" แทน- ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีบุคลิกภาพ ชนิดหนึ่งที่เด่นชัดกว่าบุคลิกภาพชนิดอื่น- บุคลิกภาพแต่ละชนิดมีหน้าที่ทางจิตใจ (mental functions) ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และส่วนมากแล้วบุคลิกภาพแต่ละชนิดนั้นมักไม่เหมือนกันหรือตรงข้ามกันไปเลย- การเปลี่ยนบุคลิกภาพจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน- ในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในบุคลิกภาพหนึ่ง จะไม่ทราบถึงบุคลิกภาพอื่นหรือเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่มีบุคลิกภาพอื่นลักษณะที่พบร่วมด้วย- มักพบความขัดแย้งต่อแรงกระตุ้น (impulse) ได้บ่อยสาเหตุสาเหตุทางจิตใจ (Psychological model) เชื่อว่ากลไกทางจิตเป็นตัวกำหนดอาการชนิดต่างๆของ Dissociative disorders โดยเฉพาะความผิดปกติของพัฒนาการและการเจริญเติบโตในช่วง 3-5 ปี โดยมีปัจจัยทางจิตใจหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นได้ เช่น การแสดงออกทางเพZ, ความปรารถนาที่จะพึ่งพิงผู้อื่น, ปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม, ความขัดแย้งต่อแรงขับของสัญชาตญาณภายใน และกลไกป้องกันทางจิตสำหรับความขัดแย้งทางจิตใจที่พบในวัยผู้ใหญ่นั้น เชื่อว่าเป็นผลมาจากความผิดปกติของพัฒนาการและการเจริญเติบโตในวัยเด็กนั่นเอง นอกจากนี้พบว่า คนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติบางชนิดเช่น dependent (บุคลิกแบบยึดถือพึ่งพา), immature (บุคลิกไม่สมวัย)นั้น หากได้รับความเครียดทางจิตสังคม (psychosocial stress) อย่างรุนแรงแล้วจะมีโอกาสเกิดอาการขึ้นได้สาเหตุทางสรีรวิทยา (Physiologic model) ได้มีความพยายามที่จะอธิบายอาการของกลุ่มโรคนี้ ตามการทำงานของ neurological pathway ต่างๆ อย่างไรก็ตามข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการทางประสาทสรีรวิทยาในปัจจุบันนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน Mayer-Gross, Janet และ Breuer ได้เสนอ physiologic model ของ Psychogenic amnesia ไว้ว่าผู้ป่วยเหล่านี้เกิดมาในลักษณะที่ระบบประสาทของเขานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงภาวะของการรู้สึกตัวหรือสติสัมปชัญญะได้โดยง่ายเมื่อได้รับสิ่งเร้าที่รุนแรง และไม่สามารถจดจำความรู้สึกหรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้เลยสาเหตุทางจิตสังคม (Psychosocial model) Kirshmer ได้กล่าวถึง social role model ของ Psychogenic amnesia ว่าเป็นบทบาททางสังคมที่ผู้ป่วยใช้เพื่อป้องกันตนเองจากการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม หรือใช้ความเจ็บป่วยของตนเพื่อหลีกหนีความรับผิดชอบทางสังคมหรือการถูกลงโทษทางกฎหมาย เครดิตรูปภาพประกอบ- เครดิตภาพปกโดยผู้เขียน- ภาพที่ 1- ภาพที่ 2- ภาพที่ 3- ภาพที่ 4- ภาพที่ 5- ภาพที่ 6- ภาพที่ 7- ภาพที่ 8