ก่อนอื่นขอแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อว่าอ๋อมครับ เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง และทำงานเกี่ยวกับกีฬาวอลเลย์บอล ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ได้รับความสนใจพอสมควรในประเทศไทย แน่นอนครับว่า คนส่วนใหญ่อาจจะรู้จักกีฬาวอลเลย์บอลในการชื่นชอบ หรือได้รับชมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยชุดใหญ่ ผ่านทางหน้าจอ ด้วยผลงานที่ดี และความน่ารักสดใส รวมถึงหัวจิตหัวใจที่สู้ไม่ถอย ทำให้หลาย ๆ ท่านก็ชื่นชอบพวกเธอไปด้วย ส่วนตัวผมเองมีโอกาสได้ร่วมงานกับทีมวอลเลย์บอลหญิงชุดใหญ่ค่อนข้างน้อย เพราะวอลเลย์บอลเอาจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีเพียงแค่ทีมหญิงให้ติดตามทำงานด้วย ยังมีทั้งทีมชาย และชุดยุวชน และเยาวชน อีกหลายชุด เรื่องที่จะนำมาเล่าในครั้ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2017 ครับ ผมมีโอกาสได้เดินทางไปพร้อมกับวอลเลย์บอลชาย ในชุด U23 ไปแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศอิหร่าน ซึ่งครั้งแรกที่รู้ว่าจะได้ไป ผมตื่นเต้นมาก และอยากไปในครั้งนี้มาก ๆ เพราะอิหร่านเอง เป็นประเทศที่เชื่อว่าน่าจะไปยาก และเราก็ไม่รู้ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไรบ้าง และนี่คือประสบการณ์ครั้งนั้น ในการเดินทางไปอิหร่าน ในบางช่วงที่ผมเคยได้บันทึกไว้แล้ว และอยากมาแบ่งปันให้ได้ติดตามกันครับ ... วันนี้เป็นวันแรกครับ ที่ได้เดินทางถึงที่ประเทศอิหร่าน และเข้ามาถึงเมืองที่จะใช้เป็นสนามแข่งขันคือ อาร์เดบิล ซึ่งเมืองนี้ อยู่แถบ ๆ ภาคตะวันตกของอิหร่าน และที่นี่อากาศหนาวมาก เราเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เวลา 22.45 น. ตามเวลาประเทศไทย ของวันที่ 27 เมษายน 2560 ด้วยสายการบินมาฮาน แอร์ และเครื่องบินลำใหญ่ มีผู้โดยสารที่เป็นคนอิหร่านเยอะมาก แทบจะมีชาวต่างชาติเลยดีกว่า ผมกับทีมงานได้เดินทางไปก่อน 1 วัน เพราะต้องไปเช็คหน้างานหลายอย่าง ทั้งเรื่องสนาม และการยิงดาวเทียม รวมถึงเรื่องการเดินทาง ส่วนทีมงานนักกีฬา จะเดินทางตามไปในอีก 1 วันให้หลัง บนเครื่อง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7.30 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางที่นานที่สุดของผมเลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่เคยไปต่างประเทศ เสียดายนิดนึงตรงที่เครื่องบินลำนี้ไม่มีหนังให้ดู และไม่มีที่ชาร์จไฟสำหรับมือถือ ต้องใช้แบตสำรองในการชาร์จแทน แต่ก็โอเค เพราะว่าเวลาส่วนใหญ่เราใช้ไปกับการนอน พอเครื่องบินบินขึ้นฟ้า เวลา 1 ชั่วโมงผ่านไป ทางเครื่องก็มีการเสิร์ฟอาหารให้ เราก็กินกันอย่างอร่อย ผมเองนั่งกับคนอิหร่าน 3 คนข้าง ๆ กัน คนนึงน่าจะพึ่งเจออุบัติเหตุ มีผ้าพันแผลพันนิ้วมือซะเต็มเลย แกก็กินข้าวอย่างลำบากหน่อย ดูนาฬิกาก็พึ่งจะเที่ยงคืนกว่า ๆ เวลาไทย เหลือเวลาอีกเกือบ 6 ชั่วโมงที่จะต้องเดินทางต่อ ผมใช้เวลาในช่วงนั้นหลับ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ 2 ชั่วโมงก่อนเครื่องจะลง หรือเวลาประมาณตี 4 ที่เมืองไทย พนักงานก็ปลุกขึ้นมาทานอาหารเช้าอีกหนึ่งมื้อ เท่ากับว่า บนเครื่อง ได้กินข้าวถึง 2 ครั้ง 2 ชั่วโมงสุดท้าย ผมเองก็หลับ ๆ ตื่น ๆ กระทั่งเครื่องบินก็พาเรามาถึงสนามบินนานาชาติไอมาม โคเมนี ที่กรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่านโดยสวัสดิภาพ ในเวลา 6 โมงเศษ ๆ หรือเวลาท้องถิ่นคือตี 3 ครึ่ง เพราะเวลาอิหร่าน ช้ากว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อลงเครื่องเรียบร้อย ปกติแล้ว การเข้าไปยังประเทศต่าง ๆ จะมีการกรอกเอกสารในการขอเข้าประเทศ แต่ครั้งนี้แปลก ๆ ไม่มีการกรอกอะไรทั้งนั้น เอาแค่พาสปอร์ตไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ ตม. ก็ผ่านมาได้โดยง่าย และอย่างที่บอกไฟลท์ที่บินมา คนต่างชาติน้อย เวลาต่อคิวในการผ่านด่าน ตม. เลยใช้เวลาไม่นาน พอลงมาที่จุดรอรับกระเป๋า ผมเองรออยู่นานพอสมควร เพราะกระเป๋าไม่มีสักที จนเวลาเลยไปเกือบ 1 ชั่วโมง กระเป๋าถึงโผล่มา เราจึงเดินทางกันต่อ ทางเจ้าภาพอิหร่าน เตรียมรถแท็กซี่มารับ จากที่สนามบินไอมาม ไปโรงแรมที่พักในตัวเมือง ใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร เกือบ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ เลย ผมมากับพี่ทีมงานอีก 2 คน ที่พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนผมเองไม่ได้เลย ซึ่งเราเองพอจะได้คุยกับลุงคนขับแท็กซี่บ้าง แกบอกว่า แกชื่อ อัลลี แกเคยไปเมืองไทยมาแล้ว ชอบกรุงเทพ ชอบพัทยา ชอบภูเก็ต และอาหารไทยอร่อยมาก แกบอกว่าแกกินได้ทุกอย่างของอาหารไทยเลย อีกทั้งลุงแกบอกว่า แกไม่ใช่อิสลาม ผมเองก็แปลกใจ มีด้วยเหรอคนอิหร่าน ที่ไม่ใช่อิสลาม ลุงอัลลี ตอบว่า แกไม่ชอบที่จะนับถืออะไร นับถือแค่ความรักก็พอ คนเรามีแค่ความรักที่ดีต่อกันและกัน และเพื่อนร่วมโลก ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว และแกบอกว่า ไม่ค่อยชอบนักการเมืองของที่นี่ ที่ทำให้ช่วงนึงประเทศเดินถอยหลัง (ไปการเมืองซะงั้น 55+) รวมถึงแกยังบอกว่าเคยไปใช้ชีวิตอยู่หลายเมืองทั่วโลกมาแล้ว เป็นเวลา 18 ปี ลุงอัลลี บอกว่าวันศุกร์จะเป็นวันหยุดของที่อิหร่าน และในช่วงนี้อิหร่านเองมีเทศกาลวันหยุดยาว ทำให้สองข้างทางในกรุงเตหะราน จะไม่ค่อยมีอะไรมาก ร้านค้าจะปิด และจะไม่ค่อยเจอคนเท่าไหร่ พอถึงโรงแรมที่พัก เราก็ขึ้นไปพักผ่อน ผมเองพยายามที่จะต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต และจะลองเล่นเฟสบุคดู เพราะที่นี่เขาบล็อกโซเชียลทั้งเฟสฯ และทวิตเตอร์ แต่ไม่บล็อกไลน์ ผมใช้ความพยายามอยู่พอสมควร แต่ก็ต่อไม่ได้ โหลดแอพฯ ช่วยมา 2-3 ตัวก็ไม่ได้สักอัน จึงตัดสินใจยังไม่ทำ ลงไปเดินเล่นก่อน ที่รอบ ๆ โรงแรมที่พักในกรุงเตหะราน วันนี้ค่อนข้างเงียบครับ อย่างที่ลุงอัลลีบอก ว่าเป็นวันหยุด คนไม่ค่อยมี แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคืออากาศที่นี่ เพราะหนาวถึง 14 องศาฯ ซึ่งเป็นอากาศที่โดนใจสุด ๆ และยิ่งพอเช็คดูจากแอพในมือถือ อากาศที่เมืองอาร์เดบิล ที่เราจะไปนั้น ต่ำถึง 7 องศาฯ บอกเลยว่าแทบคลั่งเลยทีเดียว ผมเดินเล่นไปสักพักจนถึง 7 โมงเช้า ผมก็กลับมานอนพักที่โรงแรม เวลา 7 โมงครึ่ง ผมลงมากินข้าวที่โรงแรมที่พัก ซึ่งอาหารค่อนข้างจืด และไม่มีอะไรเลย เป็นผัดไส้กรอก มีผัดมันฝรั่ง และมีคนทำไข่เจียวอยู่ รวมถึงแฮมแห้ง ๆ ซึ่งรสชาติก็ไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ แต่ยังดีที่อยู่ ๆ เน็ตก็เล่นได้อย่างลื่นไหล รวมถึงสามารถเชื่อมตัวช่วยเล่นเฟสได้ ผมมารู้ทีหลังว่า อุปกรณ์พวกนี้ต้องเปิดทีละตัว อย่าไปเปิดพร้อมกัน ไม่งั้นก็จะใช้ไม่ได้ รวมถึงต้องมีเน็ตที่ดีนิดหน่อย ถึงจะเชื่อมต่อติด เวลา 9 โมง ลุงอัลลีก็พาเราออกเดินทางจากโรงแรมอารามิส ในตัวเมืองไปสนามบินอีกหนึ่งที่ คือสนามบินนานาชาติเมห์ราบัด เพื่อจะเดินทางไปที่อาร์เดบิล เข้าหมายของเราในทริปนี้ ซึ่งโรงแรมกับที่สนามบินอยู่ไกลนิดนึง ลุงอัลลีบอกว่า วันนี้ดีหน่อยที่รถไม่ติด เพราะเป็นวันหยุด ปกติเส้นทางที่เราเดินทางมาอยู่ตอนนั้น รถติดหนักมาก เมื่อถึงสนามบิน และเช็คอินเรียบร้อย เราออกมาซื้อซิมการ์ดมือถือเพื่อใช้อินเตอร์เน็ตกัน ที่สนามบินมีเพียงแค่เจ้าเดียวคือ อิหร่าน เซล ราคา 13 ยูเอส หรือเกือบ ๆ 500 บาท มีเน็ต 5 กิ๊ก แต่พอเอาซิมเข้าเครื่องและให้คนขายคนสวยทำให้แล้ว เขาบอกว่าต้องรอประมาณ 30 นาทีถึงใช้เน็ต และโทร.ได้ ถึงเวลาเครื่องขึ้น เราเดินทางพร้อมกับนักกีฬาของอุซเบกิสถาน ซึ่งยังไม่เคยเห็นฝีมือ แต่ความสูงของนักกีฬานั้นมีมากทีเดียว น่าจะ 2 เมตรแทบจะทุกคน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาจากเตหะราน ถึงเมืองอาร์เดบิล แต่ตอนที่มาถึงนั้นอากาศ 14 อาศาฯ ค่อนข้างจะผิดหวังนิด ๆ เพราะผมเองอยากสัมผัสอากาศเลขตัวเดียว พอลงเครื่อง และไปรอรับกระเป๋าในสนามบิน ก็มีนักข่าว และผู้ใหญ่ของที่นี่มารอต้อนรับ เพราะไฟลท์บินผมมีทั้งนักกีฬา คนของสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเชีย หรือ AVC ที่จะมาทำงานในครั้งนี้ เขาก็มอบดอกไม้ให้เป็นที่ระลึก การเดินทางจากสนามบินอาร์เดบิล เข้ามาที่ในตัวเมือง นั่งรถตู้คันเล็ก ๆ และเรามีคนดูแลเรา 2 คน คือซาร่า เป็นผู้หญิง ตัวเล็ก ๆ น่ารัก (ที่จริงเป็นนักข่าวของ AVC ที่เป็นคนอิหร่าน) ส่วนอีกคนเป็นผู้ชาย ชื่อซามาน ผมเองพยายามออกเสียงชื่อเขาหลายครั้งก็พูดไม่ถูก ... ซามัน ... ซาแมน ... ซามาน ... เขาก็ส่ายหน้าว่าคุณออกเสียงไม่ถูก ผมเองเลยนึกได้ชื่อหนึ่ง เลยเรียกเขาไปว่า "สมาน" เขาก็บอกว่าใช่เลย รวมถึงเมมเบอร์โทร. เขาลงในมือถือ และพิมพ์ชื่อลงในมือถือเป็นภาษาไทยว่า "สมาน อิหร่าน" และยื่นให้เขาดู พร้อมกับบอกว่า นี่คือชื่อของคุณเวลาเขียนเป็นภาษาไทย เขายิ่งหัวเราะชอบใจเข้าไปใหญ่ จากสนามบินอาร์เดบิล มาถึงโรงแรมในตัวเมือง ใช้เวลานานพอสมควรเกือบ ๆ 1 ชั่วโมง พอเราเข้ามาถึงที่พัก คือโรงแรมกาเว ซูอี ช่วงนั้นเวลาประมาณบ่าย 2 พอเก็บของเสร็จก็ลงมากิน ทั้งที่บนเครื่องเที่ยวมาอาร์เดบิล เขาก็มีบริการให้อยู่แล้ว เท่ากับว่าวันนั้นผมเองกินไปแล้ว 3 มื้อด้วยกัน พอทานข้าวเสร็จ ผมก็ขึ้นมาที่ห้องพัก ซึ่งลืมบอกไปว่า ห้องพักที่นี่กว้างมาก กว้างจนแปลกใจว่าให้นอนคนเดียวได้ไง เพราะมี 3 เตียงเดี่ยว และ 1 เตียงคู่ มีห้องรับแขก มีเตาแก๊สทำอาหาร ขึ้นมาที่ห้อง ผมกะว่าจะนั่งทำงาน แต่ก็นั่ง ๆ ไป และเผลอหลับตื่นมาอีกทีก็ 3 ทุ่มกว่า ยังนั่งคิดอยู่ว่า หลังจากนี้จะหลับตอนไหน อากาศหนาว 7 องศาฯ ในช่วงดึก ผมตัดสินใจอยากเดินชมวิวในยามค่ำคืนของเมืองอาร์เดบิล เลยใส่แค่เชื้อยืดคอปก ออกมาเดินเล่นนอกโรงแรม ลืมบอกอีกอย่างครับ ที่อิหร่าน เขาไม่อยากให้ใส่รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้น เวลาออกนอกเคหสถานเท่าไหร่ ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย สองข้างทางเป็นถนนที่แทบจะชัน เพราะเหมือนเมืองนี้ตั้งอยู่บนภูเขา และตลอดการเดินบทฟุตบาท จะได้รับรอยยิ้ม และทักทายอยู่ตลอด ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเราเองเป็นคนเอเชีย ที่หน้าตาแปลก ๆ และที่บ้านเขาน้อยนักที่จะมีชาวต่างชาติไปเที่ยว เวลาเจอก็เลยต้อนรับดีหน่อย หรือไม่ก็คงเป็นเพราะอากาศ 7 องศาฯ แต่ผมดันใส่แค่เสื้อยืดตัวเดียว ไม่มีเสื้อแขนยาวกระมัง พอผมไปเดินเล่นในตัวเมือง บังเอิญไปเจอกับคนอิหร่านที่ร้านขายอาหารที่เข้ามาทักทาย พวกเขาอยู่กันหลายคน พอรู้ว่าเป็นคนไทย เหมือนตื่นเต้นกันยกใหญ่ทั้งบ้าน 555 เท่านั้นไม่พอ ผมยังโดนไถเสื้อบอลทีมชาติไทยอีกต่างหาก คนที่เข้ามาคุยก่อน เขาชื่อแม็กซุส เป็นเจ้าของร้านอาหาที่พัก ผมบอกว่าวันหลังเดี๋ยวเอาเสื้อมาให้ แต่คุณต้องเลี้ยงข้าวด้วยนะเว้ย 555 โดยรวมแล้ววันแรกเดินทางลูกเดียวไม่มีอะไรมาก ส่วนในวันถัดไป ผมมีคิวไปจะไปรับนักกีฬาที่สนามบินอาร์เดบิล ที่จะเดินทางมาถึงในเวลาประมาณเที่ยง ๆ จบวันที่ 1