อื่นๆ

ลิฟต์....หลอนนนน

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ลิฟต์....หลอนนนน

แม่ของฉันถูกย้ายเข้าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เนื่องจากที่โรงพยาบาลประจำอำเภอที่แม่รักษาในตอนแรกนั้น ไม่มีหมอที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคที่แม่เป็น ฉันรีบเดินทางกลับจากกรุงเทพ เพื่อมาเฝ้าแม่
เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางในการักษาผู้ป่วย จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่ต่างมารอรับการรักษา ป่วยมากบ้าง น้อยบ้างปะปนกันไป นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยจากโรงพยาบาลประจำอำเภอต่างๆถูกส่งตัวเข้ามารับการรักษา เช่นเดียวกับแม่ของฉัน

ลิฟต์ผี แม่ถูกส่งตัวมายังแผนกอายุรกรรมหญิงชั้น 5 เนื่องจากอาการของแม่ไม่หนักมากนัก เมื่อเทียบกับผู้ป่วยรายอื่นๆ แม่จึงถูกย้ายออกมาที่เตียงคนไข้ด้านนอก เพื่อให้คนไข้รายอื่นๆที่มีอาการหนักกว่าและมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ ทางการแพทย์ได้เข้าไปอยู่แทน เตียงใหม่ของแม่อยู่ริมทางเดินนอกตึก ปลายเตียงหันเข้าหาลิฟต์ทั้ง 2 ตัว ที่ถูกใช้งานทั้งวัน จากผู้คนมากหน้าหลายตา ข้างเตียงของแม่ทั้งซ้ายขวา มีคนไข้รายอื่นพักอยู่ก่อนแล้ว ฉันนับคร่าวๆตรงนี้มีเตียงคนไข้ทั้งหมด 6 เตียง  พี่สาวร่างอ้วนเตียงข้างๆ ชวนแม่และฉันคุยอย่างสนุกสนาน ทำให้วันนั้นของฉันผ่านไปไวกว่าที่คิด                                                    เช้าวันต่อมา พี่สาวร่างอ้วนคนนั้น บอกกับฉันด้วยความอารมณ์ดี ว่าวันนี้หมอได้อนุญาตให้พี่เค้ากลับ้านได้แล้ว ก่อนกลับพี่คนนั้น พูดกับฉันว่า"หนู...ระวังนะ ถ้าวันไหนที่นี่มีคนตาย คืนนั้นลิฟต์ชั้นนี้มันจะเปิดเอง" ฉันยิ้มรับ เพราะคิดว่าพี่เค้าคงต้องการแกล้งฉันเล่นเท่านั้น "พี่พูดจริงๆนะ พี่ไม่ได้ล้อเล่น" พี่คนนั้นย้ำคำด้วยใบหน้าและแววตาที่ดูจริงจัง และนั่นทำให้ฉันเริ่มรู้สึกหวั่นใจ                                                                                                                         เย็นวันนั้นฉันเห็นหมอและพยาบาลต่างพากันวิ่งเข้าออกที่เตียงๆหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกถึงอะไรบางอย่าง ฉันทำได้เพียงแต่ยืนมองอยู่ห่างๆ และภาวนาให้เค้าปลอดภัย เพียงไม่กี่นาทีผ่านมา เสียงจากปากต่อปากของญาติผู้ป่วยด้านใน ก็ส่งสารออกมาถึงด้านนอก ว่ามีผู้ป่วยด้านในเสียชีวิต ค่ำของวันนั้น ศพของผู้เสียชีวิตก็ถูกเข็นออกมารอลิฟต์ที่ด้านนอกตึก เพื่อย้ายไปยังห้องเก็บศพด้านล่าง ฉันและแม่ได้แต่มอง ภาวนาให้เค้าได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี                                         นี่เป็นเวลา 2 ทุ่มแล้ว พยาบาลแจ้งแก่ญาติที่มาเยี่ยมคนไข้ ว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่คนไข้จะต้องพักผ่อน ไฟหลายดวงก็ถูกไล่ปิลง ทีละดวง ทีละดวง  มีเพียงแสงรำไรให้เห็นทางเดินภายในตึกเท่านั้น ด้วยที่นี่เป็นโรงพยาบาลของรัฐ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆจึงไม่มีมากนัก คืนนี้ฉันจึงต้องนอนเฝ้าแม่บนเสื่อที่ถูกปูลงบนพื้น ข้างเตียงคนไข้ของแม่เหมือนกับญาติคนไข้คนอื่นๆ บรรยากาศที่เงียบสงัดบ่งบอกว่าคนไข้และญาติ คงต่างพากันหลับหมดแล้ว เหลือเพียงฉันที่ยังคงนอนไม่หลับ...... ฉันเฝ้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น กินเวลานานแค่ไหนไม่รู้ ฉันรู้สึกตัวอีกที ก็จากเสียงบางอย่างที่ดังขึ้น ติ๊ง !!! ลิฟต์หยุดลงตรงชั้นที่ฉันนอนอยู่ เสียงลิฟต์ที่ฉันได้ยินจนคุ้นชินมาทั้งวัน จนแทบไม่ได้สนใจมันเลยตลอดทั้งวัน  ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์นั้น ฉันกลอกตาไปที่ปลายเท้า ขยับขึ้นมองไปที่นาฬิกาที่อยู่ด้านบนลิฟต์ ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว "ตี 2 แล้วหรอเนี่ย???" ฉันมองกลับลงมายังลิฟต์ตัวที่ดังขึ้นนั้น โดยไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะเห็นเห็นมันเปิดๆ ปิดๆแบบนี้จนชิน เนื่องจากถูกใช้งานทั้งวัน

Advertisement

Advertisement

ลิฟต์ผี ลิฟต์นั้นค่อยๆเปิดออกจนสุด ฉันนอนเดาว่าน่าจะเป็นหมอหรือพยาบาลอยู่ในนั้น เพราะประตูตึกถูกปิดแล้ว แต่ปรากฎว่าภายในนั้นกลับว่างเปล่า ฉันพยายามเพ่งสายตามองไปในลิฟต์นั้นด้วยความสงสัย "สงสัยลิฟต์คงรวนมั้ง" ฉันปลอบใจตัวเอง จากนั้นลิฟต์ก็ค่อยๆปิดลง ฉันถอนหายใจและบอกตัวเองว่าฉันควรจะนอนได้แล้ว

ลิฟต์ผี ฉันหลับตาลงได้เพียงเสี้ยววินาที เสียงลิฟต์นั้นดังขึ้นอีกครั้ง ติ๊ง!!! ฉันตกใจลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเสียงของลิฟต์อีกตัวที่อยู่ข้างกัน และ ภายในนั้นว่างเปล่า!!! ฉันหลับตาลง พยายามคิดในแง่ดี ว่าลิฟต์น่าจะมีปัญหา แต่ดูเหมือนบางสิ่งบางอย่าง ไม่เห็นด้วยที่ฉันคิดแบบนั้น เมื่อลิฟต์ทั้ง 2 ตัว เปิดเข้า-เปิดออก สลับกันไปมา ฉันเริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว                                                                                                                                      ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตามองญาติคนไข้เตียงข้างๆ ว่าเขาจะเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ย ไม่มีแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงเรียกแม่ที่นอนสูงกว่าฉันเพียงช่วงแขน ฉันทำได้เพียงข่มตาให้หลับลงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นอะไร และสวดมนต์ไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าเผลอหลับไปเมื่อไหร่เหมือนกัน                                                          หลายครั้งที่เราถูกสอนให้เชื่อเรื่องเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มากกว่าเรื่องวิญญาณและสิ่งเร้นลับ แต่บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ก็ไม่มีทฤษฎี หรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้เลย

Advertisement

Advertisement

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์